ก้าวสู่ยุคชาวศิวิไลซ์

 ก้าวสู่ยุคชาวศิวิไลซ์

 

 

                    นับตั้งแต่นี้ไป ประเทศไทยได้เกิดการเปลี่ยนผ่านรัชกาลเข้าสู่รัชกาลที่ ๑๐ มีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่เรียบร้อยแล้ว บ้านเมืองและสังคมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ชาติไทย


                    การที่ผู้คนพากันหลงผิดไปตามคำของผู้ไม่หวังดีต่อชาติ ศาสนา และราชบัลลังก์ ทำให้คาดหมายเหตุการณ์ผิดพลาดไม่อาจปรับตัวปรับใจต่อการเปลี่ยนผ่านแผ่นดิน จะทำให้มีอาการซึมเศร้าซ้ำเติมไปกับความเศร้าอาลัยในกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ ๙ ไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่เมื่อมีพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์มีวันฉัตรมงคลประจำรัชกาลแล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นตามลำดับ


                    ทัศนคติและค่านิยมที่เคยยึดถือกันในรัชกาลที่ผ่านมาจะเปลี่ยนไปหลายประการ ตามพระบารมีของในหลวงพระองค์ใหม่ สิ่งที่เคยนิยมว่าดีอาจกลายเป็นไม่ดี สิ่งที่ถูกมองข้ามจะกลายเป็นความสง่างาม


                    การสร้างภาพลักษณ์เพื่อให้ดูว่าเป็นคนดีที่เคยทำได้ตอนปลายรัชสมัยที่ผ่านมา จะกลายเป็นสิ่งน่ารังเกียจของวิญญูชนและได้รับการตำหนิติเตียนว่าเป็นตีสองหน้า หรือหน้าไหว้ หลังหลอก ตามคำสุภาษิตโบราณเคยกล่าว  ยุคก่อนจะบอกว่าเป็นคนฉลาด แต่รัชกาลใหม่นี้จะถือว่าเป็นคนใช้ไม่ได้ ไม่มีใครอยากคบหา เพราะถือว่าไม่ซื่อตรงต่อตนเองและไม่ซื่อตรงต่อใครๆ ค่านิยมนี้จะถูกเปลี่ยนใหม่ในรัชกาลนี้


                    นักการเมืองที่มุ่งเพียงการเลือกตั้ง หรือเล่นการเมืองเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง จะไม่มีใครคบค้าหรือเลือกเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว  นักการเมืองจะต้องไม่ใช่ “เล่นการเมือง” แต่จะเป็นผู้อุทิศตนทำทุกอย่างเพื่อชาติบ้านเมือง ไม่ใช่มา “เล่น”การเมืองเสมือนหนึ่งบ้านเมืองและประชาชนเป็นของเล่นได้อีก


                   ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกซ่อนไว้มานาน จะได้รับการนำขึ้นมาจัดสรรอย่างถูกต้องเพื่อประโยชน์ของชาติในยามคับขัน ชาติตะวันตกที่ครอบงำประเทศไทยมาช้านานและหวังจะให้ประเทศไทยเข้าสู่การกู้หนี้ไอเอ็มเอฟแบบเดิมอีกครั้งจะไม่สามารถทำได้ ประเทศจีนที่มุ่งหวังจะเข้ายึดครองอำนาจทางเศรษฐกิจของไทย ก็จะไม่สามารถทำอะไรได้สมดั่งใจ นอกจากจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกยุคใหม่ที่จะช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นที่พึ่งทางจิตใจของประชาชนที่ร่ำรวยทางวัตถุ แต่ยากไร้ทางจิตวิญญาณ


                    ผู้หญิงไทยที่เคยนิยมนุ่งสั้นอวดเรือนร่าง ต่อไปนี้จะนิยมแต่งกายมิดชิดเรียบร้อย วัฒนธรรมอิสลามจะเริ่มมีอิทธิพลต่อสังคมโลกและเฟื่องฟูในยุโรป ศาสนาคริสต์ที่พยายามยึดครองประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปลายรัชกาลที่ ๙ นับแต่นี้นับวันแต่จะเสื่อมถอยลงไป คนไทยในยุคใหม่จะนับถือพระพุทธศาสนาแบบสติปัญญาหรือวิทยาศาสตร์มากกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ อันเป็นคำสอนพระพุทธเจ้าที่แท้


                   เมื่อทรงครองราชย์ไปสักระยะหนึ่ง ผู้คนทั้งประเทศจะหันมามีค่านิยมในการปฏิบัติธรรมรักษาศีล สถานเริงรมย์และอบายมุขต่างๆที่เคยเฟื่องฟูตลอด ๓๐ ปี ต่อจากนี้จะเสื่อมไปไม่มีใครอยากพูดให้ได้ยิน ผู้ที่เคยทำตัวเป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ นักเลงหัวไม้ มือปืนรับจ้าง จะเริ่มเกิดความสลดในชีวิตที่ผ่านมาของตนแล้วคิดถึงการกลับตัวกลับใจหันหน้าไปบำเพ็ญธรรมรักษาศีล หลังจากนั้นความอุดมสมบูรณ์จะเกิดขึ้นเพราะมีรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลคอยบริหารประเทศอย่างซื่อสัตย์เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย


                   จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในสถาบันกษัตริย์ ที่พระองค์ท่านจะลดพระองค์ลงมาทำตัวเป็นสามัญชนหรือคนธรรมดามากขึ้นอันเป็นไปตามยุคสมัย ประชาชนจะมีประชาธิปไตยและมีเสรีภาพมากขึ้น  กฎหมายบางประเภทที่มุ่งปกป้องสถาบันกษัตริย์ แต่มีการบิดเบือนวัตถุประสงค์แล้วนำไปใช้เพื่อกำจัดศัตรูทางการเมืองอันสร้างความแตกแยกและทุกข์ยากมานาน จะต้องมีการปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกเพื่อให้เป็นไปตามนานาอารยประเทศเพื่อสถาบันจะได้ดำรงอยู่ยืนนานด้วยคุณความดีและพระบารมีอันแท้จริง


                     แผ่นดินในรัชกาลที่ ๑๐ นี้จะปรากฏ “นารีขี่ม้าขาว” ซึ่งหลังจากครองราชย์ผ่านปีที่ ๒ แล้วจะเริ่มเด่นชัด จะมีเหตุการณ์บางอย่างทำให้นารีนางหนึ่งต้องกระโจนเข้าสู่ภาวะ “จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง” ม้าขาวหมายถึงคุณธรรมความเมตตากรุณา ส่วนคฑาคือภาวะแห่งความเป็นผู้นำ ความมุ่งมั่นอันเกิดจากความจำเป็นที่อดรนทนไม่ได้ที่จะอยู่นิ่งเฉย จำต้องทำเพื่อมหาชนหมู่ใหญ่


                     ประชาชนคนไทยในยุคต่อไปจากนี้ จะไม่มีการโหนสถาบันกษัตริย์ลงมาเพื่อผลประโยชน์ของตนได้อีกแล้ว ทุกคนต้องประกอบอาชีพด้วยน้ำพักน้ำแรงและความอุตสาหะของตนเพื่อไปสู่ความสำเร็จและความก้าวหน้า การอ้างความจงรักภักดีโดยไม่ได้เกิดจากหัวใจที่แท้นั้นจะไม่มีใครทำได้อีกต่อไป  ทุกคนจะต้องรู้จักพึ่งพาตนเองดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ทำหน้าที่ของตนด้วยสติปัญญาของตนโดยไม่ต้องคอยอ้างอำนาจใดๆ  ความสำเร็จที่ได้จึงเป็นความภาคภูมิใจและเป็นความสุขของแต่ละคนอย่างแท้จริง


                      วงการพระศาสนาก็จะเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ผู้คนจะศึกษาธรรมะนับถือพระที่ความรู้ความสามารถและการปฏิบัติ เรื่องยศศักดิ์ตำแหน่งจะไม่มีความหมายอีกแล้ว  ผู้ที่บวชด้วยวัตถุประสงค์อย่างอื่นจะเริ่มพบกับความลำบากทั้งกายและใจ ส่วนผู้บวชด้วยศรัทธาหรือมุ่งตรงต่อพระธรรมวินัยจะมีความร่มเย็นทางจิตใจแม้ต้องอยู่ในป่าในเขา ครองจีวรเก่าๆ ฉันข้าวกับหน่อไม้ ไม่เคยเจอเนื้อหรือปลาเลยตลอดเจ็ดวัน


                        “ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้ จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น  แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ”


                        นับจากนี้ไป ประเทศไทยจะมีการพัฒนาไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

 

 

                                                                           คุรุอตีศะ
                                                                 ๔  ธันวาคม  ๒๕๕๕๙