ชีวิตของเราเอง

 ชีวิตของเราเอง

 

 

                   หากถามว่าชีวิตเราจะเดินไปทางไหน  คำตอบก็คือว่า เราต่างก็เดินไปอยู่แล้วบนเส้นทางที่หัวใจของแต่ละคนปรารถนา  บางคนก็สมหวัง บางคนก็ผิดหวัง  แต่ทุกคนก็ยังรอคอยวันเวลา ด้วยหวังว่าจักไปถึงฟากฝั่งแห่งความฝันในสักวัน


                   เส้นทางของชีวิตแต่ละคนที่ดำเนินอยู่ขณะนี้  ลองคิดดูให้ดีจะพบว่าเราก็เดินมาตามความคิดของเราที่ปรารถนามาก่อนแล้ว  แต่เพราะไม่รู้มาก่อนว่าเมื่อชีวิตเดินมาถึงจุดนี้จะต้องเจอกับอะไร  เมื่อพบกับบางสิ่งไม่เป็นในทางที่พอใจ เราจึงรู้สึกว่าเรากำลังเดินผิดทาง


                     คนที่จะกลายเป็นโจร จะต้องเคยนึกยินดีหรือชื่นชมคนที่เป็นโจรมาก่อน  นึกนิยมยินดีในความกล้าทำผิดโดยไม่คำนึงถึงกฎหมายหรือศีลธรรมแล้วประทับใจในความเก่งกาจของขุนโจรทั้งหลาย


                     คนที่จะเป็นตำรวจ จะมีความรู้สึกว่าถ้าจับโจรผู้ร้ายได้จะเกิดความภาคภูมิใจ จะมีจิตสำนึกเกลียดพวกผู้ร้ายและอยากมีอำนาจอภิบาลคนสุจริตมีศีลมีธรรม  โจรกับตำรวจจึงต้องพึ่งพาอาศัยกัน


                     คนที่จะร่ำรวย ใจจะต้องอยากรวยมีทรัพย์สินมากๆ ศีลธรรมอาจไม่สำคัญนัก แต่ก็จะมีความฉลาดในการรู้จักแสดงว่าตนเป็นคนดีมีศีลธรรม เพื่อกลบเกลื่อนความคดโกงและความโลภของตนไว้


                     คนที่จะเป็นข้าราชการ ก็เพราะต้องการมีเกียรติ รู้สึกว่าตนเองมีฐานะเป็นคนหรือบริวารของผู้สูงศักดิ์ที่อยู่เหนือประชาชนทั่วไป  ปากอาจบอกว่าทำงานเพื่อประชาชน แต่แท้ที่จริงบางคนอาจทำเพื่อตำแหน่งและยศศักดิ์อำนาจ หวังในเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยอาศัยประชาชนเป็นฐานก้าวขึ้นสู่ความรุ่งเรือง


                     คนที่จะเป็นทหาร จะมีพื้นฐานมาจากการชอบใช้อำนาจมากกว่าสติปัญญาหรือเรื่องเหตุผล พอใจที่จะให้มีคนอื่นมาสั่งให้ทำ คนเป็นทหารจะต้องไม่มีความริเริ่มสร้างสรรค์  การรักษาระเบียบวินัยของทหารจะต้องไม่มีเหตุผลอะไรมาก ขอให้นายสั่งก็พร้อมจะทำได้ในทันใด  คนที่นิยมทหารก็คือคนชอบอำนาจเผด็จการ รักกลุ่มก้อนรักพวกพ้อง ซึ่งย่อมตรงกันข้ามกับประชาธิปไตยเป็นธรรมดา


                    คนที่จะบวชเป็นพระ ก็คือคนไม่สู้คนและยอมแพ้เพื่อแลกเอากับการที่ไม่ต้องสร้างบาปกรรมในชาตินี้  หากพระสู้คน ก็จะกลายเป็นพระที่ต้องการบริวารเพื่อคอยแวดล้อมแสดงความยิ่งใหญ่และระวังรักษา  ยิ่งถ้าหากเป็นพระอยากรวยและยิ่งใหญ่ ก็จะกลายเป็นพระอาเสี่ยเป็นสมญานามติดตามมา  แต่สำหรับพระแท้ก็จะมีปฏิปทาตรงกันข้ามกับที่ว่า เหมือนอย่างหลวงปู่สรวง เทวดาเดินดิน ท่านไปไหนองค์เดียวไม่มีการสะสมอะไร ใครถวายอะไรมา ก็โยนใส่กองไฟเผาหมดด้วยความร่าเริงเบิกบานสำราญใจ


                    คนที่เป็นชาวไร่ชาวนา  ก็เพราะว่าชีวิตช่วงนั้นส่วนลึกพอใจที่จะตกกล้าดำนาที่เขียวขจี ฟังละครวิทยุคณะเกศทิพย์ และยินดีพอใจอยากเห็นรวงข้าวสีทองเต็มท้องทุ่ง  แม้ส่วนใหญ่จะบอกว่าฐานะยากจนไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ แต่ส่วนลึกในจิตใจแล้วย่อมจะมีความพอใจที่ไม่ต้องไปเรียนหนังสือให้ปวดสมอง แถมยังต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และระเบียบวินัย  ความยินดีพอใจในอาชีพเดิมตามพ่อแม่ ไม่อยากพลัดพรากจากที่อยู่ ไม่กล้าไปผจญภัยในต่างถิ่นแดนไกล นี้คือส่วนหนึ่งภายในจิตใจของคนที่มีอาชีพชาวไร่ชาวนาที่กำลังดำรงชีพอยู่ในปัจจุบัน (ชาวไร่ชาวนาประเภทนี้ส่วนใหญ่จะพอใจกับอาชีพของตนเอง)


                   คนที่ชอบเป็นนักการเมือง ก็เพราะหลงใหลกับการมีโอกาสโน้มน้าวชักจูงให้ผู้คนมาเป็นฐานให้ตัวเองก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง  เป็นการมีตำแหน่งฐานะโดยไม่ต้องมีการสอบแบบข้าราชการ ขอเพียงมีวาทะให้ผู้คนนิยมตัวเองในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้ง  เป็นการลงทุนเพียงช่วงหนึ่งไม่ต้องลำบากเท่ากับการลงทุนทำการค้าธุรกิจที่กว่ากิจการจะลงตัว  นักการเมืองที่มีอุดมคติจึงเป็นเหยื่อของนักการเมืองอาชีพเรื่อยมา


                    ที่กล่าวมาทั้งหมดเพียงเป็นการยกมาแสดงตัวอย่าง  เพื่อแสดงว่าแต่ละคนแต่ละอาชีพที่ตนเองกำลังเป็นอยู่นี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามที่ “จิต” ของเรานี้เองตั้งโปรแกรมไว้  หากจิตส่วนลึกของเราไม่เคยดำริและพอใจมาก่อน เราจะไม่ได้มาพบกับชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้แต่อย่างใด

 
                   เคยมีตัวอย่างของชีวิตบางคน แต่ก่อนเคยเป็นนักปฏิบัติธรรมรักษาศีล แต่ต่อมาเขาได้ไปทำงานในบ่อนการพนัน  ก็มาจากส่วนลึกของจิตใจของเขาดั้งเดิมสมัยอายุยังน้อยที่ชอบไปในทางนั้น  แต่มีบางสิ่งควบคุมไว้ให้ไปในทางอบายมุขไม่ได้ และก่อนที่วิถีชีวิตจะได้ไปเกี่ยวข้องกับโลกของอบายมุข เขาได้พบพระที่เขาเกิดศรัทธาเลื่อมใส เพราะอานิสงส์ที่ได้รักษาศีลมาก่อน เขาเลยกลายเป็นคล้ายๆเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่นักการพนันจะให้ความเกรงกลัว แม้เขาจะมีตบะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการพนัน แต่ก็จะเป็นทุกข์และมีปัญหาเพราะเหล่าพวกนักการพนัน


                    บางคนเป็นคนขี้เมาสมัยยังไม่บวช  พอบวชแล้วกรรมก็ชักนำให้ไปเป็นเจ้าอาวาสที่หมู่บ้านซึ่งมักจะมีแต่พวกขี้เมาชอบแอบเอาเหล้ามากินยามมีกิจกรรมภายในวัด ท่านแทบจะอยู่ไม่ได้เพราะต้องคอยรบกับพวกขี้เมาที่มาสร้างความหนักใจให้ในแต่ละวัน  จนกระทั่งมีครูบาอาจารย์ท่านพูดว่า “ ก็ท่านเคยเป็นขี้เมามาก่อน ท่านก็ต้องพยายามสอนพวกขี้เมาเพื่อลบล้างกรรม แล้วภายหลังจะได้ดี ขอให้อดทนต่อไป” สุดท้ายท่านก็สามารถผ่านปัญหาครั้งยิ่งใหญ่ไปได้ เพราะยอมรับในกฎแห่งกรรมแล้วอดทนบากบั่นสร้างกรรมดี


                    ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา ล้วนเป็นสิ่งที่เราทำไว้เอง ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามกฎแห่งกรรม เมื่อได้เผชิญกับชีวิตที่เต็มไปด้วยปัญหาหรือมักมีแต่เรื่องไม่สบายใจ  ท่านจึงสอนให้อดทนและหมั่นสร้างกรรมดีไว้  เพราะการอดทนก็คือการชดใช้หนี้กรรมอย่างหนึ่ง  ซึ่งเมื่อลมพายุหรือมรสุมชีวิตพัดผ่านไป บรรยากาศและท้องฟ้าจะสดใส  ชีวิตใหม่จะเริ่มฉายแสงแห่งอรุณที่งดงาม

 

                                                                                   คุรุอตีศะ
                                                                       ๒๕  สิงหาคม  ๒๕๕๙