ชีวิตของพระธุดงค์

 ชีวิตของพระธุดงค์

 

 

                  คนบางคนชีวิตโลดโผนและพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือชนิดไม่น่าเป็นไปได้  คนโบราณท่านมักจะแบ่งคนเป็นสองประเภทคือ ฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรม แต่สำหรับบางท่านก็มีวิถีชีวิตที่พิสดารนอกกรอบของกฎเกณฑ์ดังกล่าว

 
                  ดังเช่นเรื่องราวของพระอาจารย์ประยุทธ์ ธมฺมยุตฺโต ผู้ซึ่งดำเนินชีวิตในทางผิดในชีวิตตอนต้น สุดท้ายจากขุนโจรสลัดอันลือเลื่อง สามารถกลับใจกลายเป็นพระธุดงค์ที่ทรงศีลาจารวัตรอันงดงาม


                    ประวัติของท่านนับว่าเป็นชีวิตที่หาได้ยากยิ่ง จากคนบาปในเหวลึกอันต่ำสุด พัฒนากลายเป็นผู้ทะยานตนขึ้นสู่ที่สูง สามารถคว้าเอาประโยชน์อันสูงสุดของมนุษย์ในชาตินี้ได้อย่างเหลือเชื่อ  จากขุนโจรผู้ใจโหด แต่สามารถฝึกตนจนกลายเป็นพระอรหันต์ ซึ่งอัฐิได้แปรเป็นพระธาตุหลังจากท่านละสังขารไปแล้ว


                    พระอาจารย์ประยุทธ์  ธมฺมยุตฺโต เกิดวันเสาร์ เดือน ๕ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๗๑ ที่จังหวัดเพชรบุรี ต่อมาครอบครัวได้ย้ายและเติบโตที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์


                  อายุ ๑๑ ปี ท่านได้ขว้างมีดบินเล่น แต่ไปถูกอวัยวะจุดสำคัญของชายผู้หนึ่งถึงแก่ชีวิตโดยไม่ตั้งใจ  พออายุครบบวชก็บวชตามประเพณีแต่ไม่ได้ศึกษาหรือปฏิบัติอะไร พอครบหนึ่งพรรษาก็ลาสิกขา


                  ตามดวงชะตาของท่านถือว่าเป็นคนชะตากล้าแข็งมาก หากไปทางร้ายก็ร้ายสุดๆ  หากไปทางธรรมก็จะประเสริฐสุดๆ  แต่ชีวิตของท่านกลับแปลกกว่าใครเพราะได้พบชีวิตแบบสุดๆทั้งสองอย่าง


                  ชีวิตหลังจากได้บวชตามประเพณีแล้ว ท่านได้ไปทำงานทุกชนิดที่จะหาเงินได้ ไปลากอวนเป็นชาวตังเก ต่อมาได้ไปเปิดไนต์คลับที่ประเทศมาเลเซียในย่านที่คนจีนอยู่กันมาก ทำตัวเป็นมาเฟียไปตามประสาคนใจใหญ่ใจนักเลงไม่กลัวใคร จนกระทั่งได้ทำผิดพลาดในชีวิตครั้งใหญ่ หลังจากตัดสินใจรับงานขนฝิ่นจากกรุงเทพฯไปมาเลเซีย  เมื่อเกิดการหักหลังท่านได้ฆ่าเจ้าหน้าที่สองคนที่รับฝิ่นโดยปลอมตัวมา


                   ท่านได้ถูกทางการมาเลเซียนำตัวขึ้นศาลในฐานะผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมเจ้าหน้าที่ (แต่ไม่มีคดีเกี่ยวกับฝิ่น) ต้องวนเวียนขึ้นศาลหลายครั้งหลายหนจนเกิดความหมดอาลัยตายอยากในชีวิต

 
                   จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาศาลนัดพิจารณาครั้งที่ ๖ ได้มีผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาอิ่มเอิบงดงาม กิริยาเป็นผู้ดี ท่าทางภูมิฐาน อายุประมาณ ๕๐ เศษๆ ได้เดินไปหาท่านที่กำลังกลัดกลุ้มในคดีเป็นสุนัขจนตรอก ชายผู้ใจดีได้ถามท่านว่า “หลายชาย ต้องคดีอะไร ฮึ?” ท่านกำลังเบื่อโลกไม่คิดสนใจใครก็ไม่ตอบ ชายผู้นั้นก็รบเร้าถามอยู่นั่น  จนทนไม่ไหวท่านก็เลยตอบชายผู้นั้นเพื่อตัดความรำคาญว่า “ฆ่าคน!”


                     ชายผู้นั้นพูดกับท่านว่า “หลายชายไม่ต้องกลัวว่าจะติดคุกหรือถูกประหารชีวิต เดี๋ยวลุงจะช่วย” แล้วชายผู้นั้นก็พูดกับท่านอย่างจริงจังว่า “ ลุงจะให้คาถาบทหนึ่งแล้วท่องจำไว้ให้ดี เมื่อเข้าในห้องพิจารณาเจอผู้พิพากษานั่งอยู่บนบัลลังก์ ขอให้มองหน้าผู้พิพากษาแล้วท่องคาถานี้ทุกครั้ง แล้วหลานชายจะหลุดพ้นจากคดี แต่ห้ามไปบอกคาถานี้ให้แก่ใครเป็นอันขาด”  (คาถาบทนี้ท่านจึงไม่บอกใครจนบัดนี้)


                    ในตอนนั้นท่านไม่เคยเชื่อถือในคาถาอาคมหรือสิ่งลี้ลับใดๆเลย แต่เมื่อชีวิตมาถึงทางตันไม่มีทางออก ก็จึงจำยอมรับเอาคาถานั้นไว้แล้วก็ปฏิบัติตามคำแนะนำทุกครั้งที่เผชิญหน้าผู้พิพากษา

 
                    ผลปรากฏว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อและอัศจรรย์ยิ่งนัก เพราะต่อมาศาลได้ปล่อยท่านให้พ้นโทษเหมือนคำของชายผู้นั้นพูดไว้จริงๆ  แต่ถูกทางการของมาเลเซียห้ามเข้าประเทศตลอดชีวิต


                    เมื่อประเทศไทยอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพงอันเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านสมัครเป็นเสรีไทย  ต่อมานามของขุนโจรอิสะมายแอ แห่งอ่าวไทย ที่คอยดักปล้นเรือที่ลักลอบบรรทุกข้าวสารไปขายยังมาเลเซียและสิงคโปร์ก็อหังการยิ่งนัก ทางการพยายามปราบอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จนต้องส่งคนไปเจรจา


                    แต่ก็ได้รับคำตอบจากขุนโจรอิสะมายแอว่า “ถ้าจะให้เลิกปล้น  ก็ต้องเลิกลักลอบนำข้าสารไปขายให้ต่างชาติ ในขณะที่คนไทยไม่มีข้าวสารจะหุงกิน”  ต่อมาขุนโจรอิสะมายแอก็คุมสมัครพรรคพวกถึง ๒๐๐ คน ยึดเอาเกาะตะรุเตาซึ่งเป็นเรือนจำร้างเป็นที่ซ่องสุมและเป็นฐานปฏิบัติการปล้นข้าวสารเพื่อนำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านที่อดอยากเรื่อยมา


                     หลังจากชีวิตอยู่ในหลุมดำแห่งบาปกรรมอันมืดมนอยู่ ๕ ปี  วันหนึ่งท่านคิดถึงบ้านและคิดถึงแม่ จึงเดินทางกลับบ้านที่หัวหิน  เมื่อน้องสาวของท่านเล่าว่าก่อนแม่สิ้นใจ แม่ได้พร่ำแต่คำว่า “เล็กของแม่ ๆ ๆ”ซึ่งเป็นชื่อเล่นของท่านที่แม่เรียกตั้งแต่เด็ก ด้วยความรักและห่วงใยลูกชายที่แสนรักที่ไม่รู้ข่าวคราวว่าเป็นตายร้ายดีประการใด


                    ขุนใจที่มีใจโหดเหี้ยมเพราะอยู่แต่ในดงคนบาป ก็พลันเกิดความอ่อนโยนในดวงจิตเมื่อสำนึกถึงความรักของแม่และพระคุณของแม่ที่ตนยังไม่ทันจะได้ตอบแทนคุณแม้แต่นิดเดียว  น้ำตาและเสียงสะอื้นในอกที่ไม่เคยมีให้ใคร บัดนี้ความสำนึกในพระคุณของแม่ได้ละลายหัวใจของขุนโจรให้เกิดสำนึกที่ดีงาม


                     ท่านไปนั่งคุกเข่าต่อหน้าภาพถ่ายของแม่ด้วยความสำนึกผิด สักครู่ท่านก็เกิดอาการคล้ายจิตตกสู่ภวังค์ เป็นนิมิตเหมือนท่านเป็นอีกคนหนึ่ง  ในขณะที่อีกคนกำลังคุกเข่าต่อหน้ารูปของแม่  ขณะนั้นได้มีชายร่างกำยำสี่คนมาช่วยกันฉุดกระชากลากท่านลงไปสู่สถานที่หนึ่งเหมือนไม่ใช่โลกแบบที่เราอยู่กันนี้ซึ่งน่ากลัวมาก สถานที่แห่งนั้นมีแต่เปลวไฟลุกโชนไปทั่ว


                   โดยไม่ต้องมีใครบอก ท่านก็รู้สึกขึ้นมาเองนี่คือ “นรก” ทั้งที่แต่ก่อนนั้นท่านไม่เคยเชื่อว่าสิ่งพวกนี้จะมีจริง คิดแต่ว่าเป็นแค่นิทานที่พวกพระเทศน์หลอกสอนให้คนบริจาคและทำความดีเท่านั้น


                   ในขณะที่เขากำลังจับท่านมัดเพื่อจะโยนลงในกระทะทองแดง  ด้วยความกลัวสุดขีด ท่านนึกถึงแม่ขึ้นมาได้ในเสี้ยววินาทีนั้น จึงตะโกนเรียกหาแม่อย่างสุดเสียงขึ้นว่า “แม่ ช่วยด้วย.ย.ย!”


                    พอสิ้นเสียง ก็เกิดเหตุอัศจรรย์ ในขณะนั้นก็ปรากฏใบบัวขนาดใหญ่มหึมาลอยลงมาช้อนเอาตัวท่านขึ้นเบื้องบนหลุดจากการควบคุมของชายร่างกำยำสี่คนนั้น  อันเกิดจากอานุภาพแห่งบุญของมารดาท่านที่มีอุปนิสัยรักในการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ตลอดชีวิต  ซึ่งต่างจากตัวท่านเองที่มีแต่การสร้างบาปกรรมและสร้างความหนักอกหนักใจให้มารดาผู้ใจบุญสร้างแต่กุศลที่คอยพร่ำสอนลูกชายเสมอมา


                     ใบบัวมหึมาได้พาร่างของท่านขึ้นไปสู่สวรรค์ ได้พบเทพธิดาจำนวนมากมายหลายองค์เยื้องกรายด้วยกิริยาอันแช่มช้อยงดงาม ได้พบวิมานหลังหนึ่งมีเทพธิดาเจ้าของวิมานได้กล่าวว่า “ขอให้ท่านรีบเร่งสร้างความดี อย่าประมาทในชีวิตอีก จะได้มาพบกันข้างบนนี้ เมื่อละจากร่างกายของมนุษย์แล้ว”


                      เพียงเท่านั้นกายทิพย์ก็คืนกลับสู่ร่าง โดยที่ขณะนั้นตัวท่านยังคงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าภาพถ่ายของแม่นั่นเอง  ไม่น่าเชื่อว่าเพียงชั่วเวลาไม่นาน จิตของท่านได้ไปสู่ภพภูมิหลังความตาย นิมิตอันสำคัญที่ท่านได้ประสบกับตัวเองในครั้งนั้น ท่านไม่ได้บอกใคร  อยู่บ้านไม่กี่วันท่านก็ลาจากพี่สาวและน้องสาว


                       ต่อมาท่านได้พบกับพระภิกษุชรารูปหนึ่งแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธา  ท่านได้เอาทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดแจกจ่ายให้เพื่อนและลูกน้องบริวารจนหมด  ได้ขออุปสมบทเป็นศิษย์หลวงปู่รูปนั้นโดยท่านไม่เปิดเผยชื่อ  ท่านเรียนการปฏิบัติกับหลวงปู่รูปนั้นอยู่จนครบหนึ่งปี  หลวงปู่ได้บอกให้ท่านเดินทางโดยเดินด้วยเท้าห้ามขึ้นยานพาหนะใดๆตลอดเส้นทาง เพื่อไปพบกับครูบาอาจารย์ของท่านที่แท้จริงที่จะสอนกรรมฐานต่อจากนั้น  โดยบอกลักษณะท่าทาง การพูดจา และกิริยาไว้เสร็จสรรพ พอท่านถามว่า “หลวงปู่เคยรู้จักอาจารย์รูปนั้นหรือไม่?” หลวงปู่รูปนั้นตอบว่า “ไม่เคยรู้จัก แต่ติดต่อกันทางจิต”


                         พระอาจารย์ประยุทธ์  ธมฺมยุตฺโต  ท่านได้ชื่อว่าเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม  ท่านต้องทนต่อความทุกข์ยากลำบากเพื่อการเดินทางถึง ๓ เดือน จึงขึ้นไปถึงเชียงใหม่ ต้องอดข้าวอยู่หลายครั้ง บางครั้งก็จำต้องอดข้าว เนื่องจากบิณฑบาตไม่ได้อาหารเพราะผู้คนเวลานั้นส่วนใหญ่กำลังอดอยากเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองเพิ่งสงบลงใหม่ๆ

 
                        ท่านไปพบหลวงปู่ตื้อนั่งอยู่ที่เพิงพักทำเป็นศาลามุงหญ้า ดูลักษณะตรงตามที่หลวงปู่ทางเมืองใต้บอกไว้ทุกประการ จึงคลานเข้ากราบขอฝากตัวเป็นศิษย์  หลวงปู่ตื้อท่านได้ถามตามนิสัยโผงผางตรงไปตรงมาของท่านว่า “ก่อนบวชไปทำอะไรมา  ขอให้ให้บอกมาตามความจริง!” ฝ่ายพระหนุ่มก็ตอบท่านไปตามตรงตามนิสัยคนจริงไม่แพ้กันว่า “เป็นโจรครับ!” (ภายหลังที่แห่งนั้นกลายเป็นวัดป่าดาราภิรมย์)


                          พระอาจารย์ประยุทธ์เรียนกรรมฐานอยู่กับหลวงปู่ตื้ออยู่ ๓ ปี  เมื่อหลวงปู่ตื้อพิจารณาแล้วเห็นว่ากรรมฐานของท่านเข้มแข็งดีแล้ว พอจะเอาตัวรอดได้ (คือบรรลุโสดาบันขึ้นไป) ท่านจึงอนุญาตให้พระอาจารย์ประยุทธ์จาริกธุดงค์ตามลำพังองค์เดียวไปทั่วถิ่นแดนไกลตามใจปรารถนา


                         บารมีท่านแก่กล้าสูงส่งเมื่อไปปักกลดที่ถ้ำผาพุง จังหวัดเลย หลังจากท่านตามหาถ้ำแห่งนี้ถึง ๓ ปีตามนิมิตจึงได้พบ  พอวันแรกที่ปักกลดก็เจอมารผจญ มีชายสองสามคนที่มีท่าทางหยาบกระด้างมาขับไล่ท่านออกไป  เพราะเสี่ยใหญ่เจ้าของโรงเลื่อยที่จ้างชาวบ้านแถบนั้นให้ลักลอบตัดไม้ไม่ต้องการให้ท่านอยู่ที่นั่น เพราะไม่อยากให้พระไปรู้เห็นการทำผิดกฎหมายของเขา พอท่านไม่ยอมไป  เสี่ยใหญ่จึงไปสั่งชาวบ้านไม่ให้ใส่บาตรท่าน  ท่านบิณฑบาตไม่ได้อาหารแม้แต่ทัพพีเดียว ต้องอดอาหารถึง ๕ วัน

 
                          จนกระทั่งถึงวันที่ ๖ ท่านเดินไปบิณฑบาตตามปกติ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งผ่าฟืนอดสงสารท่านไม่ได้ จึงวิ่งขึ้นไปบนบ้านปั้นเอาข้าวเหนียวจากกระติบมาหนึ่งปั้น พร้อมหยิบปลาเค็มตัวเล็กๆหนึ่งตัวมาใส่บาตรให้ ทำให้ท่านได้ฉันข้าวเป็นครั้งแรกในวันนั้น  หลังจากมาปักกลดอดข้าวมาหลายวัน ต่อมาสถานที่แห่งนั้นก็กลายเป็นวัด  หลังจากท่านจำพรรษาอยู่ ๒ พรรษา ก็มอบหมายให้พระรูปอื่นดูแล


                           ครั้งหนึ่งท่านเดินธุดงค์หลงอยู่ในป่าไม่ได้ฉันข้าวมา ๖ วันแล้ว ในคราวนั้นมีพระภิกษุ ๑ รูปและสามเณรอีก ๑ รูปร่วมเดินธุดงค์ด้วย ซึ่งต่างก็ต้องเหนื่อยล้าจนแทบจะเดินต่อไปไม่ไหว ท่านเลยพูดออกมาว่า “นี่จะปล่อยให้พระเณรอดข้าวตายกลางป่าหรืออย่างไร” พูดขาดคำก็มีสตรีนางหนึ่งหาบกระบุงเดินมาในระยะสายตา


                           สตรีผู้นั้นพอเดินมาถึงคณะพระเณรซึ่งกำลังนั่งหมดแรง ก็วางหาบลงพร้อมกับกราบด้วยความอ่อนน้อมละเมียดละไมยิ่งนัก ผิวพรรณรูปร่างหน้างดงาม ผุดผ่องน่าทัศนาผิดจากหญิงชาวบ้านทั่วไป พอกราบเสร็จเธอก็หยิบเอาข้าวกำลังอุ่นๆ พร้อมกับข้าวอีกนิดหน่อยมาถวายพระเณรจนครบ แล้วก็ลากลับไป  แต่ตลอดระยะเวลาที่เธอมาถึงจนกระทั่งกลับไป เธอไม่มีการเอ่ยคำพูดใดออกมาแม้แต่คำเดียว


                           พอวันที่สอง พอใกล้จะหิว เธอคนนี้ก็มาอีก หาบกระบุงมาแบบเก่าแล้วก็มาคนเดียว ดูอาการสงบเยือกเย็นไม่มีอาการเคอะเขิน พอวันที่สามเธอก็นำอาหารมาถวายอีกเช่นเคย


                           คราวนี้พระภิกษุหนุ่มอีกรูปหนึ่งเกิดความอดรนทนไม่ได้  กำหนดสติไม่ทันจึงโพล่งถามออกไปว่า “โยมเป็นคนที่ไหน แถวนี้ไม่เห็นมีหมู่บ้านคนเลย?” เธอผู้นั้นนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วก็พูดออกมาว่า “อยู่แถวนี้แหละเจ้าค่ะ” แล้วก็กราบลาไป  พอเธอพ้นสายตา พระอาจารย์ประยุทธ์ก็พูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้อด!”


                           ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นเธอผู้นั้นก็ไม่มาใส่บาตรอีก  พระเณรก็เลยจำต้องจากลาสถานที่นั้นดั้นด้นเดินทางกันต่อไป

 
                           ท่านเล่ากับลูกศิษย์ในภายหลังว่า หญิงผู้นั้นเป็นรุกขเทวดาที่เขามีศรัทธาอยากสร้างกุศล จึงอนุเคราะห์พระผู้ปฏิบัติดีในยามคับขัน  แต่ธรรมดาของเทวดานั้นจะไม่ชอบมนุษย์ที่สอดรู้สอดเห็น ไม่รู้จักกาลเทศะ ฉะนั้น เมื่อมนุษย์เริ่มมีใจไม่บริสุทธิ์เริ่มสงสัยว่าเขาเป็นใคร เขาจึงไม่แสดงตัวอีก


                          สำหรับชายวัยกลางคนผู้มีใจเมตตากรุณาบอกคาถาให้แก่ท่านจนท่านพ้นคดีที่มาเลเซีย เมื่อท่านอบรมจิตจนได้อภิญญาญาณ  ท่านจึงทราบว่า แท้ที่จริงแล้วชายผู้นั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่คือเทพที่มาช่วยเหลือท่านไม่ให้ต้องเสียชีวิตไปเสียก่อน จนกว่าท่านจะหันหน้าเข้าสู่กระแสธรรมในชาตินี้  (บุคคลที่มีบุญวาสนาเกิดมาจะต้องได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้  จะไม่ตายก่อนที่เขาจะได้บรรลุธรรม)


                          ในปี ๒๕๑๙  พระอาจารย์ประยุทธ์  ได้พูดกับญาติโยมที่มาทำบุญกับท่าน ณ ที่แห่งหนึ่งว่า “ที่ตายของอาตมาจะเป็นที่ วัดป่าผาลาด (กาญจนบุรี) อาตมาจะตายในปี ๒๕๒๒”


                          พอถึงปี พ.ศ. ๒๕๒๒  ใกล้จะถึงเวลาที่ท่านจะละสังขาร  ท่านจะแปลกไปจากปกติคือ ท่านมักจะงดฉันอาหารคราวละ ๗ วัน โดยบอกกับโยมที่นำอาหารมาถวายว่า “เมื่อจะฉันวันไหน จะบอก”


                          หลังจากนั้น ก่อนจะมรณภาพ ท่านได้งดการฉันอาหาร ๗ วัน แล้วก็กลับมาฉันอาหารอีก ๒ - ๓วัน แล้วก็บอกงดการส่งอาหารอีกครั้ง  พอครบกำหนด ๗ วัน ลูกชายของโยมอุปัฏฐากได้ไปที่กุฏิของท่านเห็นผิดสังเกต จึงพากันเปิดประตูกุฏิ  ปรากฏว่า ท่านได้สิ้นใจไปนานแล้ว โดยมรณภาพในท่านั่งสมาธิ


                          หลังจากที่น้องสาวนำร่างของท่านมาทำพิธีประชุมเพลิงที่วัดมะกอก ใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  ได้นำผ้าขาวห่ออัฐิของท่านกลับไปไว้ที่วัดป่าผาลาด  เมื่อเวลาล่วงไป ๒ ปี  จึงได้จัดหาเจดีย์(โกศ)เพื่อนำไปใส่อัฐิของท่านเพื่อให้สมเกียรติและสมแก่บารมี  สมกับที่ท่านเคยเป็นครูบาอาจารย์ของผู้คน


                          เมื่อแก้ห่อผ้าสีขาวออกก็ปรากฏสิ่งมหัศจรรย์  เพราะอัฐิธาตุของท่านได้แปรสภาพเป็นพระธาตุ มีรูปพรรณสีเหมือนแก้วใสบ้าง สีแดงบ้าง สีเหลืองบ้าง โดยไม่มีใครรู้ว่าท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์เมื่อใด นี้คือชีวิตของผู้มืดมา แต่สว่างไป  นี้คือท่านผู้เป็นสงฆ์สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แท้จริง


                          ขอน้อมกราบองค์คุณพระอาจารย์ประยุทธ์  ธมฺมยุตฺโต ผู้เป็นอัจฉริยมนุษย์ เป็นผู้สิ้นแล้วซึ่งอาสวะทั้งปวง เป็นผู้มีพรหมจรรย์อยู่จบ บรรลุแล้วซึ่งความเป็นพระอรหันต์..ด้วยเศียรเกล้า

 

 

                                                                                     คุรุอตีศะ
                                                                           ๓๐  กรกฎาคม  ๒๕๕๙