พระศาสนาในยุคใหม่

พระศาสนาในยุคใหม่

 

 

                     หลายคนที่มีความห่วงใยในสถานการณ์พระพุทธศาสนา  คงอยากให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องทำนองนี้บ้าง อย่างน้อยก็เป็นข้อคิดในอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งอาจต่างจากข้อมูลข่าวสารกระแสหลักที่เป็นอยู่ในสังคม จึงใคร่ขอถือเอาโอกาสนี้เล่าถึงประสบการณ์บางอย่างตามสมควร


                    สมัยยังบวชใหม่ๆ ได้มีโอกาสเข้ารับโอวาทจากพระมหาเถระผู้ใหญ่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ท่านได้เตือนว่า “ในช่วงที่ญาติโยมยังมีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ ยังยินดีพอใจในการอุปัฏฐากอุปถัมภ์ด้วยปัจจัยสี่อยู่นี้ ขอให้พวกท่านรีบเร่งทำความเพียรรีบเร่งปฏิบัติ ต่อไปภายหน้าเมื่อคนเสื่อมถอยศรัทธาต่อศาสนา จะได้ไม่ต้องนึกเสียใจในภายหลังว่า ถ้ารู้อย่างนี้ เรารีบปฏิบัติเสียก็ดี ต่อไปภายหน้าอาจจะไม่มีคนอยากใส่บาตรทำบุญกับพระเหมือนที่เรากำลังเห็นอยู่ขณะนี้ก็ได้ ขอให้ท่านทั้งหลายอย่าได้พากันประมาท”


                    วันเวลาผ่านไปยี่สิบปี  สิ่งที่พระมหาเถระผู้ใหญ่ท่านได้เมตตาตักเตือนไว้ก็ปรากฏชัดอย่างไม่น่าเป็นไปได้  หลายอย่างไม่เคยคิดว่าจะเกิด ก็เกิดขึ้นได้ง่ายดาย บ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกด้านกำลังจะอุบัติขึ้นติดตามมา


                    สมัยตอนบวชใหม่ๆ พอแบกกลดสะพายบาตรเดินตามถนน จะมีคนจอดรถดักข้างหน้าพร้อมกับอาราธนานิมนต์ให้ขึ้นรถพร้อมทั้งถวายน้ำถวายปัจจัย  ก็รับแต่น้ำดื่มแล้วก็บอกเขารับปัจจัยคืนไป เพราะกำลังเป็นพระหนุ่มไฟแรงเคร่งครัดในพระวินัย ผู้คนจะยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อได้เจอพระสงฆ์ระหว่างทาง


                     มาบัดนี้บรรยากาศเช่นนั้นแทบหาไม่ได้อีกแล้ว  คนที่ขับรถไปตามถนนจะภาวนาในใจว่าขออย่าให้เจอพระโบกรถเสียมากกว่า  นี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วตามที่พระมหาเถระหลายรูปท่านเตือนมา  เราทั้งหลายกำลังอยู่ในช่วงแห่งความเสื่อมโทรมของศาสนา แม้สถาบันชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ก็สั่นคลอน


                     อีกไม่นานเราก็คงได้สดับข่าวใหญ่ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน  หลายสิ่งหลายอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกฎพระไตรลักษณ์ไม่มีอำนาจใดห้ามได้  ทางบ้านเมืองและเบื้องบนก็กำลังจะเกิดการเปลี่ยนผ่านและเปลี่ยนไป ทางศาสนาก็จะเปลี่ยนโฉมหน้าไปสู่ยุคใหม่ ที่ชีวิตความเป็นอยู่ของพระภิกษุจะไม่เหมือนเดิม


                     ในสมัยนั้นยังเคยได้รับฟังเรื่องราวบางอย่างที่น่าวิตกจากพระเถระบางรูป เช่นท่านเล่าให้ฟังว่า มีแผนทำลายพระพุทธศาสนาโดยใช้วิธีการ “สัมพันธไมตรี นารีพิฆาต วินาศกรรม” โดยมีพระที่มีชื่อเสียงและมีผลงานในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่ในข่ายที่เขาจะทำลายจำนวนวน ๕๒ รูปด้วยกัน เป็นต้น


                    สมัยนั้น จิตใจกำลังฮึกเหิมในการอยากจาริกธุดงค์และมุ่งความหลุดพ้นตามที่ครูบาอาจารย์สายปฏิบัติท่านอบรมสั่งสอน ได้ฟังเรื่องทำนองนี้แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก โดยถือว่า “เราเป็นพระนักปฏิบัติ” เรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องของฝ่ายปกครองหรือเป็นหน้าที่ของพระในเมือง ไม่ใช่เรื่องหรือธุระของเรา


                     พอสังเกตความเป็นไปในพระศาสนาเป็นเวลาถึงยี่สิบปี จนกระทั่งมาถึงขั้นที่ไม่สามารถสถาปนาสมเด็จพระราชาคณะขึ้นดำรงตำแหน่งพระสังฆราชได้ และมีแต่ข่าวคราวไม่ดีในวงการคณะสงฆ์โดยทั่วไปเช่นนี้    ก็เริ่มนึกถึงคำพูดของพระเถระและพระมหาเถระเหล่านั้น ซึ่งบางรูปก็ล่วงลับไปแล้ว


                      สถานการณ์พระพุทธศาสนาในขณะนี้ เรียกได้ว่าเป็นทั้ง “ภัยจากภายในและภัยจากภายนอก” ภัยจากภายในก็คือภัยจากผู้มีอำนาจและความอิจฉาริษยา ภัยจากภายนอกก็คือภัยจากลัทธิศาสนาอื่นที่มีนโยบายยึดครองประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้มีมานานแล้วและกำลังหนักหนาสาหัสในขณะปัจจุบัน


                     ผลจากการที่ต้องเผชิญกับภัยทั้งสองดังกล่าว จะส่งผลให้องค์กรปกครองคณะสงฆ์ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้  ระบบการแต่งตั้งพระอุปัชฌาย์ที่เลียนแบบข้าราชการในทางโลกถึงเวลาที่จะต้องกล้าปล่อยให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยที่พระภิกษุมีอายุพรรษา ๑๐ ขึ้นไป ก็สามารถอุปสมบทกุลบุตรผู้มีศรัทธาได้ เหมือนอย่างที่ครูบาศรีวิชัยท่านเคยทำไปตามพระธรรมวินัยดั้งเดิม ก่อนที่คณะฝ่ายปกครองจะอาศัยกฎหมายซึ่งเกิดขึ้นภายหลัง หาเรื่องกลั่นแกล้งท่านเพราะความริษยาเท่านั้นเอง


                    สมัยก่อนมนุษย์เป็นสังคมเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็นมุมไหนของโลกก็จะปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยมีพระเจ้าแผ่นดินมีอำนาจสิทธิ์ขาดแทบทั้งหมด การปกครองคณะสงฆ์ก็ต้องอยู่ในลักษณะราชูปถัมภ์เป็นหลักเหมือนสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนั้นย่อมเป็นการถูกต้องและเป็นการเหมาะสมแล้ว


                     พอมาถึงยุคนี้อันเป็นยุคโลกาภิวัตน์ รูปแบบการปกครองคณะสงฆ์ก็ต้องมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับยุคสมัยต่อไป  เหมือนการจะพยายามให้สตรีใส่ชุดไทยหรือต้องรักนวลสงวนตัวอยู่แต่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเหมือนคนในยุคก่อนนั้น แต่พอถึงตอนนี้ก็ไม่อาจบังคับได้อีกแล้วนั่นเอง


                    บางคนไปเปิดอ่านพระวินัยปิฎกนิดหน่อย ก็จะมาบังคับพระไม่ให้จับปัจจัยเหมือนสมัยพุทธกาลทั่วทั้งสังฆมณฑลซึ่งย่อมไม่อาจเป็นไปได้  ใครที่ต้องการปฏิบัติเคร่งครัดหวังความหลุดพ้นท่านก็จะสมาทานไม่มีไม่ครอบครองเงินทองปัจจัย  ส่วนพระสงฆ์ส่วนใหญ่ที่บวชเข้ามาในพระธรรมวินัย แต่ละรูปอาจบวชด้วยศรัทธาบ้างด้วยวัตถุประสงค์อย่างอื่นบ้างแตกต่างกันไป  พระสงฆ์เหล่านั้นจะให้ท่านดำรงชีวิตอย่างไรท่ามกลางสังคมแบบทุนนิยมบริโภคนิยม จะให้ท่านเอาปัจจัยที่ไหนจ่ายค่าโทรศัพท์หรือค่าเดินทาง


                   การเปิดอ่านพระวินัยปิฎกนิดหน่อยแล้วก็สรุปเอาเองตามทิฐิมานะของตนนั้น ก็เหมือนคนที่ไปเดินตามห้างแล้วเปิดดูประมวลกฎหมายอาญาหรือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์สองสามมาตรา แล้วก็ไปพิพากษาคนอื่น  การบวชในศาสนาที่ยังพรรษาน้อยๆจะรู้สึกว่าตัวเรานี้ช่างรู้ไปหมดทุกอย่าง แต่พอบวชไปนานๆจะยิ่งรู้สึกว่าความรู้ที่เรามีนี้ยังน้อยเกินไป จะคล้ายๆที่โสเครตีสกล่าวไว้ว่า “ตัวเรานี้ไม่รู้อะไรเลย”


                    ผลกระทบจากภัยต่างๆที่เบียดเบียนพระพุทธศาสนา  ถึงเวลาแล้วที่พระสงฆ์จะปฏิวัติตัวเองโดยหันหลังให้กับความเป็นพระครู เจ้าคุณ หรือสมณศักดิ์  ทางฝ่ายบ้านเมืองเขาเลิกบรรดาศักดิ์ไป ๘๐ ปีแล้ว  เรื่องอะไรจะต้องให้ใครมาแต่งตั้งยศศักดิ์ให้  ประมุขสงฆ์ พระสงฆ์ก็เลือกกันเองแบบพม่า ลาว ศรีลังกา ประเทศเหล่านั้นก็ไม่เห็นมีความยุ่งยากแต่อย่างใด  “พระคือที่พึ่งทางใจ ยศศักดิ์ใดๆเป็นเพียงมายา”


                    ถึงเวลาแล้วที่พระพุทธศาสนาจะต้องมีการปฏิวัติครั้งใหญ่  มิฉะนั้นอาจต้องถึงขั้นล้มครืนลงไป พร้อมกับสถาบันสำคัญต่างๆ  หากจำเป็นก็ต้องแยกรัฐกับศาสนาออกจากกัน เพื่อมิให้พระพุทธศาสนาตกอยู่ในฐานะเป็นเครื่องมือทางการเมือง  พระพุทธศาสนาจะได้ไม่มัวหมองแปดเปื้อนกับการเมืองอีกต่อไป


                    ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงความคิดเห็นของหิ่งห้อยบ้านนอกตัวเล็กๆตัวหนึ่ง  ศาสนาในยุคใหม่ควรจะเป็นที่พึ่งทางจิตใจ เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ตามหลักการของพระพุทธองค์ดั้งเดิม โดยอยู่เหนือการเมืองและลาภสักการะยศศักดิ์แบบชาวโลกทั้งหลาย

 
                     พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้มิใช่เพียงหน้าที่ของใครคนหนึ่งคนใด แต่พระพุทธองค์ทรงฝากมรดกนี้ไว้ให้อยู่ในกำมือของพุทธบริษัทสี่ให้ช่วยกันจรรโลงรักษาให้ยั่งยืนนานสืบไป

 
                   ขอพระบวรพุทธศาสนาจงผ่านพ้นบรรดาอุปสรรคโพยภัย ดำรงอยู่ตราบชั่วจิรัฐิติกาลเทอญฯ

 

 

                                                                                        คุรุอตีศะ
                                                                             ๒๖  กรกฎาคม  ๒๕๕๙