เทวดาถวายเพล

เทวดาถวายเพล

 

 

                   คนสมัยนี้มีความเชื่อเรื่องผีสางเทวดาน้อยเต็มที เนื่องจากมีการฝึกฝนสมองฝั่งซ้ายเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมมาตั้งแต่เด็ก สมองฝั่งขวาแทบไม่ค่อยได้ส่งเสริมพัฒนา ผู้คนจึงสามารถสร้างสรรค์ความเจริญทางวัตถุได้อย่างก้าวหน้ารวดเร็วมาก แต่กลับมีความทุกข์ใจและจิตใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเศร้าหมองมากกว่าแต่ก่อน เพราะใจขาดสมาธิ ขาดพลังชีวิตในการค้ำจุนเยียวยาจิตใจ


                   ความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีเป็นประสิทธิภาพของสมองฝั่งซ้าย  แต่เรื่องความรัก ความงดงาม ความสุขทางใจหรือวุฒิภาวะทางอารมณ์เป็นเรื่องประสิทธิภาพของสมองฝั่งขวา


                   การพัฒนาความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีเป็นความสามารถทางตรรกะของสมองฝั่งซ้าย ส่วนเรื่องฌานอภิญญาสิ่งลี้ลับทั้งหลายเป็นความสามารถของสมองฝั่งขวา เป็นเรื่องของสมาธิจิตอันบริสุทธิ์


                  เรื่องของวิทยาศาสตร์และปรัชญาเป็นเรื่องของการใช้ความคิด  เรื่องฌานญาณอภิญญาจิตเป็นเรื่องการการหยุดคิด จิตนิ่งเป็นสมาธิไม่มีอดีตไม่มีอนาคต  เรื่องทางวัตถุกับเรื่องจิตวิญญาณจึงต่างกัน


             ในสมัยหนึ่ง หลวงพ่อปาน โสนันโท แห่งวัดบางนมโค พาลูกศิษย์จำนวน ๓๐ คนเศษซึ่งมีพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระหรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ) อยู่ในคณะด้วย นั่งรถไฟลงปักษ์ใต้จุดหมายเพื่อไปกราบนมัสการพระบรมธาตุแห่งจังหวัดนครศรีธรรมราช  สมัยนั้นการเดินทางต้องเดินทางโดยรถไฟซึ่งสะดวกและปลอดภัยที่สุด  แต่ขบวนรถไฟจะไปถึงแค่ทับสะแกเท่านั้น แล้วต้องรอขบวนใหม่เพื่อโดยสารต่อไปอีกที


              ขบวนรถไฟจากกรุงเทพฯเดินทางไปถึงทับสะแกเวลา ๑๐.๐๐ น. อีกเพียงชั่วโมงเดียวก็จะถึงเวลาฉันภัตตาหารเพล แต่ไม่มีร้านอาหารที่จะสามารถสั่งอาหารมาเลี้ยงพระและญาติโยมจำนวนมากขนาดนั้นได้  หลวงพ่อปานท่านจึงพาลูกศิษย์เข้าพักที่วัดใกล้ๆสถานีรถไฟ โดยที่ลูกศิษย์ก็สาละวนและกลุ้มใจทำอะไรไม่ถูกในช่วงเวลานั้น  พอไปถึงวัด เนื่องจากเป็นเวลากะทันหัน เจ้าอาวาสก็เตรียมการอะไรไม่ทัน ทุกคนกระวนกระวายว่าคราวนี้คงต้องได้สร้างกรรมทำให้หลวงพ่อปานและพระภิกษุอดฉันอาหารเป็นแน่แท้


                หลวงพ่อปานได้เอ่ยกับท่านเจ้าอาวาสขึ้นว่า “ขอให้พวกท่านฉันอาหารเพลไปตามสบายเถิด ส่วนคณะที่เป็นอาคันตุกะทั้งสามสิบคนนี้ให้เป็นภาระของผมเอง” แล้วท่านก็ถามขึ้นว่า “มีห้องว่างบ้างไหม อยากจะขอนอนพักสักครู่” ท่านเจ้าอาวาสก็กราบเรียนท่านว่ามีตั้งหลายห้อง ขอให้พักผ่อนตามสบายเถิด


                หลวงพ่อท่านหายเข้าไปในห้องเงียบกริบ  ทำเอาพวกลูกศิษย์นั่งกระวนกระวายกระสับกระส่ายร้อนอกร้อนใจว่าจะหาอาหารที่ไหนช่างมืดแปดด้าน หลวงพ่อก็ทอดธุระกลับเข้าห้องนอนพักผ่อนเสียอีก


                 พอหลวงพ่อปานท่านเข้าไปอยู่ในห้องได้ประมาณ ๑๐ นาที  ในขณะนั้นก็มีสตรีผู้หนึ่งอยู่ในวัยกลางคน รูปร่างหน้าตางดงาม มีกิริยามารยาทเหมือนผู้ดีชาววัง การนุ่งห่มก็มิดชิดเรียบร้อยพร้อมพาดสไบ ได้เดินเข้ามาหาคณะที่กำลังนั่งปรับทุกข์เรื่องภัตตาหารเพลกันอยู่ พร้อมกับเอ่ยถามท่านพระมหาวีระขึ้นว่า “หลวงพ่อปานท่านมาด้วยใช่ไหมเจ้าคะ”


                 ทุกคนกำลังนั่งนิ่งอึ้งตะลึง ไม่มีใครตอบ จนเธอต้องเอ่ยถามขึ้นใหม่ พระมหาวีระจึงตอบเธอไปว่า “หลวงพ่อปานมาด้วย แต่ท่านกำลังนอนพักผ่อนอยู่ในห้อง” พอเธอได้ฟังคำตอบแล้วก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย พร้อมกับพูดออกมาว่า “ทัน!” แล้วก็เดินออกไปจากวัดโดยไม่พูดอะไรอีก


                 หายไปสักพัก เธอก็กลับมาใหม่ คราวนี้ไม่ได้มาคนเดียว แต่มีสตรีสาวติดตามมาด้วย ๔ คน ดูแล้วน่าจะเป็นบริวารรับใช้  หญิงสาวทั้งหมดรูปร่างสวยงามหมดจดไม่มีใครแพ้ใคร ในมือของเธอเหล่านั้นถือทั้งข้าวสวยกำลังร้อนๆหอมกรุ่น  กับข้าว อาหารหวานคาว  ผลไม้ที่ทุกคนในคณะชอบพร้อมเสร็จสรรพเหมือนรู้ใจ


                   พอหลวงพ่อปานพาคณะพระเณรเริ่มลงมือฉัน เมื่อดูนาฬิกาก็ได้เวลา ๑๑.๐๐ น.ตรงพอดิบพอดี  อะไรมันจะเหมาะเจาะลงตัวขนาดนี้

 
                   พอทุกอย่างเรียบร้อย ก่อนที่จะเดินทางไปจังหวัดนครศรีธรรมราชต่อไป  มีผู้ที่สงสัยถามเจ้าอาวาสวัดแห่งนั้นว่า “สตรีผู้นั้นและลูกน้องที่มาถวายอาหารเพลเป็นคนที่ไหน มาที่วัดนี้บ่อยไหม?”


                   เจ้าอาวาสท่านก็ตอบว่า “ไม่ทราบจริงๆว่าเขามาจากไหน แต่ที่แน่ๆคือไม่ใช่คนแถบนี้ และไม่เคยเห็นมาก่อน เพิ่งเห็นก็ตอนเขาพากันมาถวายอาหารเพลแก่คณะหลวงพ่อนี้เองเป็นครั้งแรก”


                    หลังจากเดินทางลงไปกราบนมัสการพระบรมธาตุสำเร็จเรียบร้อย พอกลับถึงวัดบางนมโค พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อฤาษีลิงดำหรือพระมหาวีระในสมัยนั้น รู้สึกอดรนทนไม่ได้ จึงรวบรวมความกล้าหาญว่าเป็นไงเป็นกัน คลานเข้าไปกราบหลวงพ่อปานแล้วถามว่า “หลวงพ่อครับ ผู้หญิงที่พากันมาถวายอาหารเพลที่ทับสะแก พวกเขาเป็นใครกันแน่ครับ  กระผมรู้สึกแปลกๆ รูปร่างหน้าตา กิริยาทำไมไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปเลย”


                   หลวงพ่อปานท่านหัวเราะออกมา แล้วก็ตอบว่า “เทวดาเขารู้ว่าเราจะอดอาหาร เขาจึงได้ถือโอกาสสร้างบารมีในยามคับขันที่มนุษย์ทั่วไปทำไม่ได้  ขอให้ทุกคนทุกรูปรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ฝึกฝนจิตใจให้ใสสะอาด ไม่ให้ราคะ โทสะ โมหะครอบงำจิตใจ มีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นหลักชัย ก็จะสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง ขอให้ทุกคนจงพากันหมั่นปฏิบัติภาวนา เพื่อความเป็นสาวกของพระตถาคตเจ้าที่แท้จริง”


                    สิ่งเหล่านี้พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็น “อจินไตย” คือไม่สามารถคิดเอาตามหลักทางวิทยาศาสตร์หรือเหตุผลตามแบบคนทั่วไปได้  เป็นสิ่งที่เฉพาะผู้ที่ฝึกฝนจนมีอภิญญาจิตเท่านั้นจึงจะรู้เห็นหรือสัมผัสได้  จึงขอนำมากล่าวไว้เพื่อเป็นกำลังใจแก่นักปฏิบัติธรรมทุกท่านและทุกคน

 

 

                                                                                         คุรุอตีศะ
                                                                               ๗  กรกฎาคม  ๒๕๕๙