ปรับตัวสู่สังคมใหม่
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
ปรับตัวสู่สังคมใหม่
จากกรณีชะตากรรมของครูสาวอายุ ๒๗ ปี ต้องตกเป็นเหยื่ออันโหดร้ายของสังคมปัจจุบัน สะท้อนถึงสภาวะอันเสื่อมโทรมในทุกด้าน เป็นสังคมที่คนดี คนบริสุทธิ์ ต้องตกเป็นเหยื่อของคนที่ใช้อำนาจเหนือกว่าบังคับขู่เข็ญตามใจชอบ เป็นสภาพสังคมที่เสื่อมทางด้านศีลธรรมเกือบทุกสถาบัน บ้านเมืองเริ่มมีสภาพไร้ขื่อไร้แปขึ้นทุกที ก่อนที่ทุกอย่างจะพลิกโฉมหน้าไปสู่สังคมยุคใหม่ที่อะไรต่างๆจะไม่เหมือนเดิม
ชีวิตของเธอนั้นได้ประสบชะตากรรมไปแล้ว ส่วนเราทั้งหลายผู้ยังมีชีวิตอยู่ จำต้องดิ้นรนต่อสู้กันต่อไป สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม เราจะถือเอาเป็นสิ่งเตือนใจที่จะไม่ประมาทในชีวิต จะรีบเร่งสร้างกุศลความดี ก่อนที่ร่างกายนี้จะแตกดับ จิตวิญญาณจะได้ลาจากโลกนี้ไปอย่างสงบ รอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง
พึงตักเตือนตนเองไว้ว่า ในช่วงเวลาที่ “ดาวมฤตยูทับดวงเมือง” นี้ เป็นช่วงเวลาที่เราต้องใช้ชีวิตด้วยความมีสติเป็นพิเศษ ช่วงเวลานี้ไม่ใช่ช่วงเวลาของการท่องเที่ยวสนุกสนานหรือเพลิดเพลินกับความสุขความรักความใคร่ ที่ผู้คนมักทำอะไรได้อย่างใจเหมือนตลอดระยะเวลา ๒๐ ปีมาแล้ว
ในช่วงสองสามปีนี้ เป็นช่วงเวลาที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการใช้ชีวิต ไม่ใช่เวลาแห่งการโอ้อวดความรัก โอ้อวดความอบอุ่นในครอบครัว ไม่ใช่เวลาของการโอ้อวดความเป็นใหญ่เป็นโต หรือโอ้อวดความสุขความร่ำรวยความมั่งมี เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงของยักษ์มารมีกำลัง จะเกิดความริษยาอาฆาต เข้าสร้างความวิบัติแก่ผู้คนที่ประมาทมัวเมาในชีวิต เขาจะมีกำลังมากในการตัดรอนคุณงามความดีและความรักความสุขของผู้คน
หากคู่รักหรือคู่สามีภรรยาใดมัวประมาทหรือโอ้อวดความรักหรือความสุข เราจะสังเกตได้ว่าไม่นานนักแม้คู่นั้นจะคบหาหรืออยู่ด้วยกันมาหลายปีก็มักมีอันบาดหมาง แตกร้าว หรือเลิกรากันโดยง่าย ผู้ที่จะสามารถประคองความรักหรือความร่มเย็นในครอบครัว ในช่วงเวลานี้ต้องมีสติใช้ชีวิตอยู่กันเงียบๆเจียมตัวเจียมใจ อย่าไปคิดว่า “เราไม่ได้เบียดเบียนใคร” เพราะคนที่คิดเบียดเบียนเราอาจจะมีแต่เราอาจไม่รู้ตัว
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้พาทุกคนมองโลกในแง่ร้าย เราไม่ใช่ทั้งพวกมองโลกในแง่ร้ายและไม่ใช่ทั้งพวกโลกสวย แต่เราคือผู้ดำเนินชีวิตอย่างผู้มีสติและมีชีวิตอยู่กับความจริง แม้เราจะมองโลกด้วยสายตาที่งดงามต่อสรรพสิ่ง แต่เราก็มีสติในการเข้าใจและรับรู้ต่อความจริง ในการดำรงอยู่เพื่อทำหน้าที่บางอย่างและสร้างคุณประโยชน์ไว้ในโลกนี้ก่อนที่ชีวิตจะดับลง
หากเราคือผู้ที่มีคู่ครอง จงน้อมเอาคุณธรรมของพระโสดาบันบุคคลมาประดับไว้ในดวงจิต เราจะไม่เอากามารมณ์เป็นใหญ่ในชีวิต แต่จะมีกามสังวรพร้อมกับเจริญสติในชีวิตประจำวันพร้อมกับมีศีลห้า
หากเป็นโสดหรือใช้ชีวิตตามลำพัง เราก็จะสำรวมกายใจมีสติ ไม่ไปดูไปฟังในสิ่งที่ก่อให้เกิดราคะโทสะอันเป็นสิ่งบ่อนทำลายพลังที่ดีงามของดวงจิต แม้สมัยปัจจุบันจะมีช่องทางให้ใจไหลสู่ที่ต่ำได้ง่าย แต่เมื่อเราวิรัติงดเว้นในสิ่งที่จะเกิดกิเลสได้ ขณะนั้นก็จะเป็นศีลขึ้นมาทันที หัวใจจะมีพลังที่เข้มแข็ง เราจะรู้สึกเคารพนับถือตัวเองได้ จะเกิดความปีติและภูมิใจอยู่คนเดียวเงียบๆตามลำพัง
ในช่วงเวลานี้ไม่มีทางเลือกใดอื่น นอกจากเราทุกคนต้องหมั่นสร้างความดีให้มากไว้ พยายามสมาทานศีลอย่างน้อยศีลห้าแม้บางคนไม่มีโอกาสหรือไม่สามารถจะไปวัด
ในช่วงชะตาบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ เราต้องเอาพระศาสนาเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ ในช่วงเวลานี้อย่าทำตัวเป็นปัญญาชนหรือเป็นนักวิทยาศาสตร์มากเกินไป หากศีลห้าของเรายังไม่บริบูรณ์และบุญที่เคยทำไว้กำลังอ่อนลงไป เพราะความมั่นใจในตนเองที่เคยมีและไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์อาจตกลงมาได้ เพราะเรายังไม่ใช่พระอริยบุคคล
ไสยศาสตร์ ปาฏิหาริย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่หายไปไหนตราบใดที่มนุษย์ทั้งหลายยังไม่บริบูรณ์ด้วยศีลห้า การที่ไม่สามารถปลงใจเชื่ออย่างสนิทใจในกฎแห่งกรรม สิ่งเร้นลับยังสามารถมีอิทธิพลต่อบุคคลหรือสังคมนั้นได้เสมอ ไสยศาสตร์จะทำอะไรบุคคลนั้นไม่ได้ก็เฉพาะพระโสดาบันบุคคลเท่านั้นเอง
ครูบาอาจารย์บางท่านจึงอาศัยพิธีกรรมบางอย่างเพื่อเป็นพลังช่วยคุ้มครองศิษย์ แม้แต่หลวงปู่มั่น ท่านก็ยังเคยอาศัยเมตตาจิตทำผ้ายันต์และเหรียญมอบเป็นของขวัญกำลังใจแก่ผู้ใกล้ชิดในช่วงที่บ้านเมืองเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาและสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่นั่นไม่ใช่เส้นทางมรรคผลนิพพาน จึงกำชับศิษย์ทั้งหลายไม่ให้ยึดติดสิ่งเหล่านี้ เดี๋ยวจะพากันเดินหลงทางไม่อยากทำกรรมฐานอีกต่อไป ท่านจึงตำหนิไสยศาสตร์หรือเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ไว้ เพราะเป็นอุปสรรคให้หลงติดฤทธิ์เดชจะไม่สนใจพระนิพพาน
การศึกษาพระพุทธศาสนาแบบวิชาการทางตะวันตกแต่ขาด “จิตสิกขา” จะทำให้มีปัญญาแบบสุดโต่งจนกลายเป็นการลบล้างอำนาจทางจิตหรืออำนาจแห่งสมาธิได้ มีปัญญาอย่างเดียวแต่ขาดการฝึกฝนสมาธิจิตให้ถึงขั้น จะทำให้ไม่เชื่อชาติก่อนชาติหน้า ไม่เชื่อว่ามีนรกสวรรค์ จะทำให้เป็นคนเก่งที่ขาดศรัทธา ขาดความสุขและความอบอุ่นใจ หรือหากมีแต่ศรัทธาแต่ขาดปัญญาจะทำให้เกิดความงมงาย ด้วยเหตุนี้ ศรัทธาและปัญญาจึงต้องได้สัดส่วนสมดุลกัน
ช่วงเวลานับต่อจากนี้ เป็นช่วงเวลาที่เราทั้งหลายจะดำเนินชีวิตด้วยความประมาทในบุญกุศลอย่างที่เคยทำได้สบายใจตลอดมาแบบนั้นอีกไม่ได้
ขอให้พากันหันมาหมั่นสร้างกุศลบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาให้ยิ่งขึ้นไป เมื่อถึงเวลานั้นเราจะไม่มีวันต้องเสียใจ เราจะพบกับชีวิตใหม่ที่สดใส เหมือนพายุฝนที่กระหน่ำมาหลายวัน สุดท้ายก็ถึงวันที่แจ่มใส เป็นวันแห่งฟ้าหลังฝนอันงดงาม
คุรุอตีศะ
๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙