หัวใจที่ชื่นบาน
- รายละเอียด
- หมวด: LanDharma
หัวใจที่ชื่นบาน
ความทุกข์ทั้งมวลเกิดจากเราสร้างขึ้นเอง แต่เพราะมัวแต่ไปโทษคนอื่นปัญหาต่างๆจึงไม่อาจคลี่คลายได้
บางครั้งเรามัวแต่ตั้งแง่ตั้งเงื่อนไขกับคนที่เรารักและเขาก็รักเราจนเกินไป ยิ่งตั้งแง่ยิ่งสร้างเงื่อนไขมากเพียงใด คนที่ช้ำใจก็หาใช่ใครอื่น แต่คือตัวเรานี่เอง
การมีนิสัยชอบตั้งแง่หรือคอยสร้างเงื่อนไขนั้น เกิดจากจิตส่วนลึกที่เรียกร้องความสำคัญหรือเรียกร้องความสนใจจากคนอื่น เมื่อเขาไม่มีเวลาใส่ใจเพราะมีกิจธุระมากมายในแต่ละวัน พอไม่ได้ดั่งใจก็เลยยิ่งเพิ่มมาตรการกดดันคนอื่นหนักขึ้น
เมื่อยิ่งกดดันคนอื่น ผลกรรมก็ย้อนกลับมาตกที่ตัวเราเอง ทำให้ตัวเองยิ่งเคร่งเครียดและยิ่งกดดันมากขึ้น เพราะเป็นบาปจากการสร้างความทุกข์ให้คนอื่นเพื่อให้ได้ดั่งใจเรา
จงเลิกทิฐิมานะเพื่อเอาชนะคนอื่นเสีย นั่นจะเป็นการทำบุญครั้งใหญ่โดยไม่ต้องใช้ปัจจัยเงินทองแม้แต่น้อย
ยิ่งกับคนที่เขารักเราและเราก็รักเขา ก็ไม่รู้ว่าเราจะไปตั้งแง่ ตั้งเงื่อนไข และกดดันเขาไปเพื่ออะไร เพราะคนที่จะต้องหม่นหมองเสียใจก็หาใช่ชาวบ้านหรือคนอื่นที่ไหน นอกจากตัวเราหรือเขาเพียงสองคน
ลองทบทวนการใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองดูว่า เราใช้ชีวิตที่สบายหรือเอาแต่นั่งนอนมากเกินไปหรือเปล่า หากเราชอบนอนดึกตื่นสายหรือพักผ่อนน้อย ก็มักจะเป็นคนขี้หงุดหงิดง่ายหรือมักอารมณ์ขุ่นมัว เพราะตับไตทำงานหนักและเลือดไม่พอในการไหลเวียนหล่อเลี้ยงหัวใจ สำนักปฏิบัติธรรมทั้งหลายที่ท่านกำหนดให้นอนสามทุ่ม ตื่นตีสามตีสี่นั้น เป็นศาสตร์แห่งชีวิตของตะวันออก ซึ่งเราควรเริ่มให้ความสำคัญ
อย่าปล่อยชีวิตแต่ละวันล่องลอยโดยไม่ทำกุศลใดๆในการหล่อเลี้ยงชีวิต หมั่นตรวจสอบการดำเนินชีวิตประจำวันของเราบ่อยๆว่าเราได้ละเลย “บุญกิริยาวัตถุ ๑๐” ที่ท่านเคยสอนหรือเปล่า
หากเวลาส่วนใหญ่เราอยู่กับเทคโนโลยีหรือปล่อยร่างกายสบายมากเกินไป จิตใจจะขาดความร่าเริงแจ่มใส การเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายจะถามหา หากเราไม่รีบไหวตัวภาวนาบำเพ็ญกุศลสร้างความดี
การหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องของตัวเองโดยไม่ยอมไปวัดหรือไม่ยอมสร้างกุศลอะไรเลยนั้น ยิ่งจะมีสิ่งบีบคั้น ไปไหนก็เหมือนมีแต่คนไม่เข้าใจ พบแต่เรื่องไม่สบายใจ เพราะไม่มีกุศลคอยหนุนส่งให้สวรรค์เมตตาคอยช่วย
การสร้างความดีนั้นต้องมีใจหนักแน่นอดทนประกอบด้วย เพราะต้องทวนกระแสกิเลสเหมือนการพายเรือทวนน้ำตลอดเวลา เมื่อถึงจุดหนึ่งที่สามารถบากบั่นฟันฝ่า ก็จะพายเรือได้สบายเมื่อผ่านพ้นกระแสเชี่ยวและพ้นผ่านวังน้ำวน
ดูอย่างประวัติของท้าวสักกะเมื่อสมัยยังเป็นมฆมาณพ ก็เริ่มสร้างความดีด้วยการใช้นิ้วเท้าคุ้ยดินให้ร่วนยืนสบายเท้า พอคนอื่นมาเห็นก็ผลักเขาออกไปจากตรงนั้นแล้วเข้าไปยืนแทน แต่มฆมาณพก็ไม่โกรธ หันไปทำที่อื่นให้เป็นที่รื่นรมย์ต่อไปอีกเรื่อยๆด้วยความสุขใจ พอมีคนมาแย่ง เขาก็ไม่โกรธปล่อยให้คนอื่นสุขสบายแล้วไปทำอีกในที่แห่งใหม่จนกลายเป็นว่าต่อมามีคนมาร่วมสมัครใจทำความดีถึง ๓๓ คน
คำว่า “ดาวดึงส์” แปลว่า “สามสิบสาม” เป็นภูมิที่มีบุคคลคณะหนึ่งสร้างความดีไว้สมัยยังเป็นมนุษย์แล้วไปบังเกิดพร้อมกันทั้งสามสิบสามคน ณ ภูมิแห่งนั้น เป็นสวรรค์ชั้นที่สอง เป็นภพภูมิที่รองรับดวงจิตที่ทำความดีเพื่อให้คนอื่นมีความสุข โดยคิดว่า “ความสุขของคนเหล่านั้น ก็คือความสุขของเรา”
เมื่อเราเป็นคนหนึ่งที่รู้จักเส้นทางที่ดีงาม เหตุใดเราจะปล่อยเวลาให้สูญเปล่าและปล่อยหัวใจดวงนี้ให้ซึมเศร้า เมื่อเราสุขเรามีเพื่อนมากมาย แต่เวลาทุกข์ไม่มีใครทุกข์กับเรา อย่างมากเขาก็ปลอบใจว่าอย่าคิดมากและหมองเศร้า แล้วเขาก็หันไปหาคอมพิวเตอร์หรือเล่นโทรศัพท์ปล่อยให้เราน้อยใจตามเดิม
พระพุทธองค์จึงทรงเตือนและพร่ำสอนพวกเราทั้งหลายว่า มนุษย์ที่เกิดมาอย่ามัวหลงเพลิดเพลินในความสุขและกามคุณ แต่จงรีบหมั่นสร้างกุศล สิ่งที่จะช่วยเราให้พบกับความสุขความแจ่มใสก็คือการสร้างบุญกุศล หาใช่การเรียกร้องความสำคัญหรือความเห็นใจจากใคร
หันมาสร้างความดีตั้งแต่วินาทีนี้ ชีวิตที่อับเฉาซึมเศร้าหรือเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ จะพลิกผันกลายเป็นชีวิตที่เปี่ยมด้วยความหมายอันยิ่งใหญ่ เราจะนับถือตัวเองได้พร้อมทั้งมีหัวใจที่ชื่นบาน
คุรุอตีศะ
๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๙