ศาสนากับวิทยาศาสตร์

 ศาสนากับวิทยาศาสตร์

 

 

                  ใครที่เคยรู้เรื่องราวของ "ริว จิตสัมผัส" อาจรู้สึกสงสัยแคลงใจอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งบางคนก็โจมตีว่าเขาพาผู้คนงมงายหรือเป็นพวกหลอกลวงอะไรทำนองนั้น เรื่องนี้น่าสนใจเหมือนกันว่าอะไรงมงายหรืออะไรไม่งมงาย


                  การงมงายคือการทำอะไรตามๆกันโดยไร้เหตุผล ไม่เป็นตัวของตัวเอง ทำไปด้วยโมหะอวิชชา  แต่การทำอะไรด้วยความเลื่อมใสศรัทธาและประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ มีเหตุมีผลในตัวเอง อย่างนั้นไม่ใช่ความงมงาย ขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจไว้อย่างนี้ก่อนเป็นอันดับแรก


                 ถ้ามนุษย์เอาแต่เหตุผลหรือวิทยาศาสตร์อย่างเดียว คนจะกลายเป็นหุ่นยนต์ ไม่มีชีวิตชีวา จะมองมนุษย์ด้วยกันเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง จะเป็นคนทื่อๆ ไร้ชีวิตจิตใจ ไม่รู้จักความรัก ความงดงาม ที่สำคัญจะไม่สามารถสัมผัสและเข้าถึงคุณค่าและความลึกซึ้งของคำว่า "ศาสนา"


                มนุษย์ไม่ใช่วัตถุหรือหุ่นยนต์ ดังนั้นทุกคนจึงต้องการที่พึ่งทางจิตใจ ต้องการความรัก ความอบอุ่น  สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่า ศาสนาบ้าง ความเชื่อบ้าง ไสยศาสตร์บ้าง โลกลี้ลับหรือโลกวิญญาณบ้าง


                ที่ครูบาอาจารย์ท่านตำหนิไสยศาสตร์ก็เพราะเป็นศาสตร์แห่งความหลับใหล ไม่เป็นไปในทางที่ทำให้จิตรู้ ตื่น เบิกบาน (คืองมงาย) ทำให้ผู้คนที่เข้าไปพึ่งพาแล้ว มักตกเป็นทาส ขาดสติ ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าไสยศาสตร์ไม่มีอยู่จริงเสียทั้งหมด  เราต้องแยกแยะอย่างนี้


               หญิงหรือชายบางคนในอดีต เขาหรือเธออาจเคยเป็นนักบวชบำเพ็ญพรต สามารถฝึกสมาธิจนเข้าฌานสมาบัติได้ เขาอาจอธิษฐานมาเกิดใหม่ในยุคสมัยที่เป็นกลียุคหรือยุคของมาร การจะใช้คุณวิเศษเพื่อช่วยเหลือผู้คนหรือสังคม หากอยู่ในเพศภิกษุอาจจะถูกล่าวหาว่าอวดอุตริมนุสสธรรมและสร้างเรื่องใส่ร้ายเพื่อทำลายศรัทธาได้ จึงต้องอยู่ในเพศฆราวาสเพื่อจะได้สะดวกต่อการพูดคุยคลุุกคลีกับผู้คน เอื้อต่อการช่วยเหลือผู้คนได้อย่างกว้างขวางทุกเพศและวัย เพราะไม่ต้องระวังพระวินัยและถูกจำกัดด้วยสมณเพศ


                    เรื่องของความลี้ลับขึ้นกับความเชื่อของแต่ละคน  แต่ก็ไม่ใช่ให้บุคคลที่ยังไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นไปกล่าวหาคนอื่นว่างมงายอย่างง่ายๆ  อย่างที่ผู้คนสมัยใหม่มักทำตนเป็นปัญญาชนอยู่เหนือคนอื่นคอยไปตัดสินคนอื่นว่างมงายอยู่เสมอ บางอย่างเรายังไม่มีความรู้ ก็อย่าเพิ่งตัดสินว่าคนอื่นเขางมงาย  เพราะยังมีสิ่งที่เกินวิสัยของมนุษย์อีกมากมาย ที่วิทยาศาสตร์ยังค้นไปไม่ถึง ยังค้นไม่พบ หรือทดลองยังไม่สำเร็จจนสรุปเป็นทฤษฎี ซึ่งชีวิตของมนุษย์นี้ช่างน้อยนัก ส่วนใหญ่ต้องตายไปก่อนที่วิทยาสตร์จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง


                   ถ้าจะเป็นความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย ต้องเป็นลักษณะว่า คนที่ไม่มีความรู้ในเรื่องวิทยาศาสตร์ ก็เคารพในการที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามีโลกอีกใบหนึ่งซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางถึงสามแสนปีจึงจะถึง ฉันใด คนที่ไม่มีความรู้เรื่องศาสนาลัทธิความเชื่อหรือไสยศาสตร์โลกลี้ลับ ก็พึงมีความเคารพต่อผู้อื่น ไม่พึงเอาความคิดของตัวเองเป็นมาตรฐานแล้วไปตัดสินว่าคนอื่นที่เขาสัมผัสเรื่องลี้ลับได้ว่าเป็นพวกงมงาย ฉันนั้น


                    ตามประวัติศาสตร์ในสมัยยุคกลางของยุโรป ศาสนาได้เป็นฝ่ายรุกรานเบียดเบียนและครอบงำตัดสินพวกแสวงหาการรู้แจ้งหรือนักวิทยาศาสตร์ในยุคเริ่มต้น จนกระทั่งปัญญาชนเหล่านั้นต้องอพยพไปตั้งถิ่นฐานประเทศใหม่คืออเมริกา ทำให้ต้องเขียนบทบัญญัติรัฐธรรมให้แยกศาสนาออกจากรัฐนับแต่นั้น

 
                    มาในยุคนี้เหตุการณ์กลับตาลปัตรไปอีกอย่าง คือว่าวิทยาศาสตร์ได้เป็นฝ่ายรุกรานและครอบงำความเชื่อทางศาสนา แล้วมักเที่ยวกล่าวหาพวกที่มีความเชื่อทางไสยศาสตร์และศาสนาว่า "เป็นพวกโง่เขลางมงาย" เสมือนว่าต่างพยายามล้างแค้นกัน หรือพยายามยึดครองพื้นที่ทางความคิดของผู้คนฉะนั้น


                    แท้ที่จริงแล้ว ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องก็ต้องบอกว่า ต่างฝ่ายต่างก็งมงายสลับกัน  ฝ่ายหนึ่งงมงายทางด้านวัตถุ อีกฝ่ายงมงายทางโลกวิญญาณ  เพราะไม่ว่าฝ่ายใดก็ยังไม่เป็นผู้รู้แจ้งต่อสัจธรรมแต่อย่างใด

 
                     ดังนั้น ในทางที่ถูก เราจงพยายามมีเมตตาอย่ามัวแต่จ้องว่าซึ่งกันและกัน  แล้วโลกนี้จะมีความสุขสันต์ ด้วยความรักความเมตตาที่มนุษย์ต่างมีความหวังดีเอื้อเฟื้อและหยิบยื่นให้แก่กัน  สิ่งที่เรียกว่าสวรรค์บนดินก็จะบังเกิดขึ้นบนแผ่นดินที่เรามีชีวิตและอาศัยอยู่ร่วมกันนี้ จนกว่าร่างกายจะแตกทำลายตายไปจากกันในวันหนึ่ง

 

 

                                                                                    คุรุอตีศะ
                                                                         ๑๘  มิถุนายน  ๒๕๕๙