สมาธิรักษาโรค

 สมาธิรักษาโรค

 

 

                     ใครที่นั่งสมาธิลำบาก สุขภาพไม่อำนวย  เป็นโรคกระดูกทับเส้น  ปวดหลังเรื้อรังอะไรต่างๆ ที่ทำให้นั่งในท่าขัดสมาธิไม่ค่อยได้  หากเป็นคนที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย  ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล  และเป็นคนที่มีศรัทธาในวิธีรักษาโรคแบบโบราณ  อยากให้ลองศึกษาวิธีการักษาโรคของพระมหาสีไพร อาภาธโรดู


                    ตามประวัติ พระมหาสีไพร ท่านเป็นคนขี้โรคตั้งแต่เด็ก รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย สามวันดีสี่วันไข้  รักษาในโรงพยาบาลรวมแล้ว ๑๙ โรงพยาบาล  รักษาโรคต่างๆที่รุมเร้ามาถึง ๓๐ ปี ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

 
                    จนกระทั่งมาค้นพบวิธีรักษาโรคด้วยวิธีตอกเส้นแบบโบราณ ใช้การทำสมาธิแบบผ่อนคลายและสมาธิแบบเคลื่อนไหว ช่วยเหลือผู้คนทุกเพศและวัย ทุกชนชั้นวรรณะ ได้ฝึกอบรมช่วยเหลือแล้วเป็นแสนคน


                    ใครที่สนใจ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ของท่านได้ที่ www.sripai.com หรือที่ พระมหาสีไพร โทร. 081-006-0504


                    คนในยุคสมัยใหม่  ส่วนใหญ่นั่งเก้าอี้เรียนหนังสือตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยได้นั่งกับพื้นเหมือนคนรุ่นก่อน  การนั่งเก้าอี้นั้น ตามหลักของวิชาโยคี พอเรานั่งลงบนเก้าอี้ ลมปราณตรงบริเวณสะโพกหรือตรงกระเบนเหน็บลมจะเดินได้เพียง ๖๐ เปอร์เซ็นต์  คือลมปราณจากช่วงบั้นเอวลงมาเลือดลมจะเดินติดขัด ไม่เป็นปกติ ความสามารถในการเดินลมปราณจะสูญเสียไปถึง ๔๐ เปอร์เซ็นต์จากการนั่งบนเก้าอี้


                    ดังนั้น  คนสมัยนี้หากไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกายเสียก่อนแล้วจึงนั่งสมาธิ  จึงรู้สึกอึดอัดกระสับกระส่ายฟุ้งซ่าน  เนื่องจากลมปราณติดขัดมาทั้งวัน  เมื่อนั่งสมาธิจึงเต็มไปด้วยความคิดมากมาย  สมาธิจึงไม่สามารถเกิดได้  เพราะจิตใจและร่างกายไม่ได้ผ่อนคลาย  เส้นเอ็นในร่างกายก็ตึงเพราะจิตใจมักมีเรื่องให้ร้อนรน วิตกกังวลหรือเคร่งเครียดในแต่ละวัน


                  ยิ่งคนสมัยนี้ ชีวิตส่วนใหญ่มักอยู่กับสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์  มักอยู่กับอิริยาบถนั่งแทบตลอดเวลา  ร่างกายไม่ค่อยเกิดการเคลื่อนไหวหรือได้ไม่ค่อยได้เดินเปลี่ยนอิริยาบถ


                  พระธุดงค์ท่านเดินจาริกด้วยความมีสติไปเรื่อยๆไม่รีบร้อน  พอค่ำมาก็นั่งสมาธิ จิตของท่านจึงรวมได้ไว  ผิดกับชีวิตของพวกเราทั้งหลาย  มีแต่นั่งจ้องหน้าจอไม่ขยับ  ความเจ็บป่วยมากมายจึงมาเยือน


                   สมัยที่ยังทำงานทางด้านกฎหมาย สมัยนั้นยังเป็นหนุ่มและไม่เคยรู้ ไม่มีใครสอนให้เห็นความสำคัญของการทำสมาธิแบบเคลื่อนไหว นั่งอยู่กับสำนวนกฎหมายเป็นตั้งๆทั้งวัน  พอถึงที่พักก็ไปนั่งสมาธิอีกเพื่อหวังจะผ่อนคลาย  แต่ก็สังเกตได้ว่าใจก็ไม่ค่อยเบาสบาย  สุดท้ายโรคปวดหลังก็ติดตามมา

 
                  การนั่งสมาธิ  ท่านจึงต้องให้มีการเดินจงกรมควบคู่ไปด้วย  เหตุผลก็คือร่างกายจะได้มีความสมดุล จะเป็นการเกื้อกูลให้สมาธิเกิดได้ง่าย


                  ถ้าเป็นวัดป่าที่ไม่ได้ใช้วิธีพองยุบ ท่านก็จะใช้วิธีกวาดใบไม้เพื่อให้ลมปราณไหลเวียนทั่วร่างกาย  พอเกิดความผ่อนคลาย  ก็ไปฉันน้ำปานะ สรงน้ำ แล้วเข้าที่ภาวนาในยามค่ำคืน  การกวาดใบไม้ของพระ  จึงไม่ใช่แค่การทำความสะอาด แต่คือการทำสมาธิด้วยการกวาดใบไม้อันเป็นกิจส่วนรวม ซึ่งเป็นการภาวนาโดยการเคลื่อนไหวร่างกายอยู่ในตัว


                   สำหรับใครที่เป็นโรคปวดหลัง  ขอแนะนำว่าอย่าไปนั่งสมาธิแบบนิ่งๆ เพ่งอารมณ์ หรือจดจ่อ เพราะจะยิ่งจะทำร่างกาย เส้นเอ็น ตึงเครียดหรือเป็นพังผืดเกาะติดตามกระดูกไขสันหลัง  จงใช้สมาธิแบบผ่อนคลายธรรมชาติหรือสมาธิแบบเคลื่อนไหว  จะทำให้อาการเจ็บปวดทุเลาลง


                   ใครที่มีจิตใจเป็นธรรมชาติ เป็นคนขี้เกรงใจคนอื่น มีหิริโอตตัปปะประจำใจ ควรทำสมาธิแบบเคลื่อนไหวหรือสมาธิแบบผ่อนคลายจะเป็นประโยชน์มากกว่า  เพราะมีพื้นเดิมของใจที่ใสๆดีอยู่แล้ว


                  หากเรียนหนังสือ ก็จะเรียนหนังสือเก่ง  จะเก็งข้อสอบด้วยตัวเองได้อย่างถูกต้อง  หากเป็นหนุ่มสาว ก็จะมีจิตใจกระฉับกระกระเฉง  มีอารมณ์แจ่มใส พร้อมทั้งมีสติรู้กาลเทศะอย่างเป็นไปเอง  จะเป็นคนมีไหวพริบปฏิภาณในการคบหากับเพศตรงกันข้าม  หากเป็นคนมีอายุ จะใจดีเบิกบานและมีเมตตากรุณา


                   หากใครสุขภาพไม่ดี  ทำสมาธิก็ไม่มีความก้าวหน้า ลองหันมาทำสมาธิรักษาโรค อาจเป็นคำตอบของชีวิตอีกทางหนึ่ง ที่จะทำให้ชีวิตของเรามีความสุขทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ


                   การออกกำลังกายแบบเล่นกีฬา จะได้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ  แต่การทำสมาธิรักษาโรค จะทำให้ทั้งกายและดวงจิตมีความเข้มแข็ง 

 

                   ด้วยเหตุนี้นับตั้งแต่โบราณกาลมา  ท่านจึงมีวิชาโยคะเพื่อให้ฤาษีดาบสทั้งหลายได้ใช้สำหรับบริหารร่างกาย เพราะได้ออกกำลังกายแบบทำสมาธิฝึกลมปราณ  เหล่าโยคีผู้บำเพ็ญทั้งหลายจึงมีอายุยืน ซึ่งเป็นศาสตร์ของผู้ฝึกสมาธิชั้นสูงที่มีมานับพันปี


                  ผู้ปฏิบัติธรรมที่ขี้โรค  ควรทำสมาธิแบบรักษาโรคและผ่อนคลาย  อย่าใช้ร่างกายหักโหม หรือบีบบังคับทรมานร่างกาย โดยคิดพยายามจะเอาชนะความเจ็บปวด  ร่างกายเขาไม่รู้เรื่องหรอก เพราะนั่นเป็นเพียงใจที่คิดจะเอาอะไรให้ได้ดั่งใจ

 

                    แท้ที่จริงแล้ว ความสมดุลของร่างกายและจิตใจต่างหากคือประตูแห่งการบรรลุธรรม

 

 

                                                                               คุรุอตีศะ
                                                                     ๑๐  มิถุนายน  ๒๕๕๙