สมาธิเพื่อคนยุคใหม่

 สมาธิเพื่อคนยุคใหม่

 

 

                    จงปฏิบัติสมาธิตามที่พยายามถ่ายทอดสู่ท่านทั้งหลายมาตลอดสามปีนี้  จะทำให้เกิดอานิสงส์แก่ชีวิตได้อย่างมาก  อย่ามัวยึดติดรูปแบบการทำสมาธิต่างๆที่เคยปฏิบัติกันอยู่ก่อนโลกจะเข้าสู่ยุคดิจิตอล

 
                     สมาธิเช่นนั้นต้องรักษาศีล ๘ เป็นพื้นฐานของจิตอย่างเคร่งครัดและหลีกห่างจากสังคมการงานจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้  ย่อมเหมาะกับคนที่เป็นโสดและคนที่ไม่ได้ประกอบอาชีพการงานเหมือนคนทั่วไป


                     จงรักษาใจให้ใสๆ เป็นใจที่มีศีลคือความเป็นปกติ ซึมซับเอาความสงบตามธรรมชาติ แล้วมีสติตื่นอยู่กับทุกอิริยาบถอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่จำกัดแค่การนั่งสมาธิ เดินจงกรมเช้าและเย็นอย่างที่เคยทำ


                   คนสมัยใหม่ใจไม่ค่อยใสและไม่ค่อยไร้เดียงสาเหมือนคนรุ่นก่อนที่จะมีมือถือหรืออินเทอร์เน็ต เราจึงต้องประยุกต์วิธีปฏิบัติ และมีเคล็ดในการดำรงสมาธิท่ามกลางความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยี


                   การปฏิบัติแบบยุบหนอ พองหนอ หรือพุทโธ นั้นก็พอสอนได้ เพราะได้ชื่อว่าเป็นพระวิปัสสนาจารย์กับเขาอยู่  แต่มองเห็นประโยชน์ว่าถ้าท่านทั้งหลาย มีความเข้าใจสามารถทำสมาธิแบบเซนหรือแบบปล่อยวาง  กำลังสติและกำลังใจจะเข้มแข็ง และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง


                    การปฏิบัติแบบที่พยายามถ่ายทอดนี้  จะเป็นการปฏิบัติธรรมที่ไม่เกิดปัญหาครอบครัวตามมาพร้อมทั้งมีความรักที่สะอาดขึ้น  มีเมตตาต่อกันในครอบครัวยิ่งขึ้น เพราะเป็นสมาธิที่พอดี เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย (ยกเว้นคนที่ชอบติดเคร่งครัดเกินไป หรือชอบทำอะไรที่หนักๆจึงจะรู้สึกว่าตัวเองได้ปฏิบัติ)


                    การปฏิบัติสมาธิแบบปล่อยวางหรือแบบผ่อนคลาย จิตใจจะแจ่มใส จะเป็นคนมีน้ำใจและไม่นิ่งดูดาย  ไม่เป็นคนทำอะไรสุดโต่ง  เป็นพระก็จะมีเมตตาต่อผู้คนทุกเพศทุกวัย ไม่กดข่มและดูหมิ่นสตรีเพศ  เป็นคนธรรมดาก็จะมีครอบครัวที่อบอุ่นและมีน้ำใจ มีพลังชีวิตและเกื้อกูลต่อกันตามฐานะอันพึงมีของตน


                    อย่ามัวลังเลสงสัยว่าวิธีนี้ไม่ได้เป็นการปฏิบัติ  หากเข้าใจแล้วจะเสมือนหนึ่งพบทางลัดที่จะดับทุกข์ทางใจได้เร็วขึ้น

 
                    ใครที่ปวดขา ปวดเอว ปวดเข่า หรือเจ็บป่วยอย่างอื่น นั่งสมาธิตามรูปแบบไม่ได้ ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด  เพียงทำใจให้ผ่อนคลาย ดำรงสติตื่นไว้อย่างไม่มีการปรุงแต่ง ไม่มีการจัดแต่งหรือบงการสิ่งใด รู้กาย รู้ใจ หรือสังเกตลมหายใจ  ความสงบและเบิกบานแห่งใจก็จะบังเกิดขึ้นในชีวิตของเรา


                   อยากนั่งก็นั่ง  อยากเดินก็เดิน  เมื่อร่างกายต้องการพักผ่อน ก็นอนได้ไม่มีปัญหา แต่ขอให้มีสติระลึกรู้ไปกับอาการเหล่านั้นอย่างเป็นธรรมชาติ  คนมองภายนอกอาจคิดว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ  แต่ใครจะรู้ว่าสติของเราเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ โดยที่ไม่เห็นจำเป็นอะไรต้องไปอวดหรือบอกใคร   ขอให้เราอยู่กับความสงบเงียบๆ ดำเนินชีวิตด้วยกำลังแห่งสติเรื่อยไป  อยู่ท่ามกลางสุขและทุกข์ที่จรมาเป็นครั้งคราว


                   สมาธินี้จะนำออกใช้ได้ทันเหตุการณ์เมื่อบ้านเมืองหรือชีวิตเข้าสู่ภาวะวิกฤต  จะไม่ต้องรอนั่งขาขวาทับขาซ้ายในเมื่อสิ่งแวดล้อมไม่อำนวยให้  เพราะได้ฝึกหัดทำสมาธิอยู่เสมอเป็นเพื่อนกับลมหายใจ  สมาธิที่ผู้คนแสวงหาทั้งหลาย สุดท้ายต้องมาจบลงที่สมาธิพุทธะแบบนี้ จึงจะได้ชื่อว่าจบการภาวนา

 

                                                                                         คุรุอตีศะ
                                                                               ๙  มิถุนายน  ๒๕๕๙