บทกวีแห่งชีวิต

 บทกวีแห่งชีวิต

 

                    สมัยยังบวชใหม่ๆ ได้ขึ้นไปบำเพ็ญที่ภูกระดึงก่อนที่จะมีการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติไม่กี่ปี มีโยคีท่านหนึ่งได้ร่ายบทกวีให้ฟังโดยบอกว่าเป็น “บทกวีของผู้สันโดษฮั่นชานแห่งขุนเขายะเยือก” ฟังแล้วรู้สึกแปลกมาก ไม่เหมือนธรรมะที่เคยได้ฟังทั่วไป เพราะตลอดมาจะอ่านและศึกษาธรรมะตามหลักพุทธศาสนาเถรวาทมาโดยตรง เมื่อฟังแล้วรู้สึกใจสงบลึกซึ้งต่างจากบทกวีรักๆใคร่ๆหรือบทกวีที่เคยได้อ่านมาก่อน


                    หลายปีต่อมา มีแม่ชีท่านหนึ่งได้นำหนังสือแปลกๆเล่มหนึ่งมาถวาย  บอกว่าเคยอ่านหนังสือเล่มนี้สมัยยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย รู้สึกว่ามีส่วนช่วยประคับประคองใจให้สงบจนเรียนจบเป็นวิทยาศาสตรบัณฑิต มองดูแล้วก็พบว่าไม่เหมือนหนังสือธรรมะทั่วไป  เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ สันปกเป็นเชือกผูก หน้าปกเป็นสีเทา มีอักษรจีนอยู่กลางปก แล้วมีภาษาไทยอยู่ด้านล่าง อ่านว่า“ขุนเขายะเยือก” ทำให้หัวใจเย็นยะเยือกนึกถึงโยคีท่านนั้นขึ้นมาทันที


                   หนังสือเล่มนี้ผู้ถอดความจากภาษอังกฤษคือ “พจนา  จันทรสันติ”  ซึ่งได้กล่าวไว้ในคำปรารภตอนหนึ่งว่า “ฮั่นชานกวีนักพรต  อาศัยอยู่บนขุนเขาเทียนไท้ซึ่งมีหิมะปกคลุมอยู่ชั่วนาตาปี  เป็นตำนานอันลือเลื่องซึ่งเล่าขานกันสืบต่อมา  ควบคู่กับฉือเต่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในหมู่พวกเซน  ซึ่งบรรดาศิลปินหลายท่านในยุคหลังได้ถือเป็นแบบฉบับแห่งแรงบันดาลใจทางจิตวิญญาณ  และได้วาดภาพทั้งสองขึ้นไว้..”


                     ทุกวันนี้พวกเราส่วนใหญ่มักมีอารมณ์ขุ่นมัวและมีเรื่องไม่สบายใจเกิดขึ้นแทบทุกวัน  จึงอยากพาพวกเราย้อนกลับไปสัมผัสบทกวีของ “ผู้สันโดษฮั่นชาน แห่งขุนเขายะเยือก” ซึ่งมีชีวิตอยู่สมัยเมื่อหนึ่งพันปีมาแล้ว  ซึ่งจะทำให้เห็นว่า ชีวิตคนเรานั้น แม้จะยุคโบราณหรือยุคปัจจุบัน  ก็ไม่ค่อยมีอะไรแตกต่างกันในทางด้านความรู้สึกนึกคิดหรือทางจิตใจ   หัวใจของเราจะได้เกิดความผ่อนคลายและสงบได้บ้างตามสมควร

 

                   ขุนเขายะเยือก บทที่ ๙


            “...อายุคนมีไม่ถึงร้อยปี


             แต่ถูกกดทับอยู่ด้วยความทุกข์นับพันปี


             ยังไม่ทันที่จะเยียวยาความป่วยไข้ของตน


             ก็ต้องแบกภาระหนักของลูกหลาน


              ก้มลงดูต้นข้าวในนางอกงาม


               แหงนดูผลหม่อนเติบโต


                เมื่อภาระหนักนี้ได้จมหายไปก้นทะเลลึก


                เมื่อนั้นจึงจะได้พักผ่อนสงบสักชั่วครู่...”

 

จะเห็นได้ว่าความทุกข์ของพวกเราทุกวันนี้ไม่ได้เป็นของใหม่  ผู้คนเมื่อพันปีมาแล้วก็มีความทุกข์คล้ายกัน

 

                  “...ข้าพเจ้ามักขุกเข็ญจนยาก


                     ในวันนี้นับว่าเข้าถึงก้นบึ้งแห่งความหนาวเห็บหิวโหย


                      ไม่ว่าจะทำอะไร  ก็ดูผิดในสายของผู้อื่น


                      ไม่ว่าจะไปไหน  ก็ถูกผลักไสปฏิเสธ


                       ข้าพเจ้าเดินไปตามทางด้วยฝีเท้าซวนเซ


                       นั่งอยู่กับชาวบ้านในขณะที่กระเพาะเจ็บปวดหิวโหย


                        ตั้งแต่สูญเสียเจ้าแต้มแมวเลี้ยงไป


                        ฝูงหนูก็เพ่นพ่านมาเลียบเคียงดูไหข้าวสาร..”

 

ไม่ทราบว่าจะยังมีใครที่เข้ามาอ่านธรรมะในนี้  มีความทุกข์ยากอดอยากปานฉะนี้บ้างหรือไม่..(ถ้ามี ช่วยบอกหน่อยนะ)

 

                      “...เสียงเพลงของนกเร้าใจให้เกิดความรู้สึกดื่มด่ำท่วมท้น


                          ในยามนี้ข้าพเจ้านอนเหยียดยาวในกระท่อม


                           ดอกเชอรี่ส่องประกายแดงจำรัส


                           ต้นหลิวโบกไหวกิ่งอ่อนโยน


                           อาทิตย์อุทัยค่อยโผล่พ้นจากยอดเขาสีน้ำเงิน


                            เมฆขาวก็ถูกกวาดออกไปจากผิวน้ำในสระมรกต


                             ใครเลยจะคิดว่าข้าพเจ้าได้ละทิ้งโลกอันแปดเปื้อน


                              มาอาศัยอยู่ทางใต้ของขุนเขายะเยือก..” ( บทกวีบทที่ ๒๙ )

 

                   ธรรมะหรือสัจธรรมนั้น  มีวิธีถ่ายทอดหลากหลายวิธีด้วยกัน  บางทีอยู่ในรูปแบบตามคัมภีร์  บางทีอาจผ่านทางบทกวีเพื่อนำกระแสธรรมจากจิตสู่จิตโดยตรง

 

                   หากใครก็ตามที่ได้อ่านบทกวีเหล่านี้ซาบซึ้ง โปร่ง ว่าง เบาสบาย  ขอให้รู้ว่าขณะนั้นดวงจิตได้สัมผัสกับจิตเดิมแท้แล้วอย่างเป็นธรรมชาติ  จิตในขณะนั้นมีความสมดุลดีอยู่แล้ว  อย่าไปนั่งสมาธิอะไรอีก


                    หากใครอ่านแล้วยังไม่เข้าใจ  แสดงว่าเป็นคนคร่ำเคร่งกับการนั่งสมาธิตามรูปแบบจนจิตตึงเครียดเกินไป  ขอให้ผ่อนความรู้สึกออกรับรู้ธรรมชาติรอบกายให้มากขึ้น    จิตจึงจะเกิดความสมดุล มีความเป็นกลาง  จะเกิดความสงบอันลึกซึ้ง แล้วแสงสว่างแห่งปัญญาจะบังเกิดขึ้นมาเอง

 

 

                                                                               คุรุอตีศะ
                                                                      ๘  มิถุนายน  ๒๕๕๙