อยู่กับปัจจุบัน

 อยู่กับปัจจุบัน

 

                การมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง อันจะทำให้เรามีพลังในการดำเนินชีวิต ไม่ใช่การปล่อยจิตให้คำนึงถึงเรื่องราวในอดีต ไม่ใช่คิดวิตกกังวลในเรื่องวันข้างหน้า  แต่คือการหมั่นภาวนา โดยการมีสติกับความเป็นจริงในขณะนี้ อยู่กับสิ่งที่ร้ายและดี อยู่กับความสดใสและความกังวลโดยจิตดวงนี้ไม่ต้องปฏิเสธต่อสิ่งใด


                คนในสมัยยุคปัจจุบัน มีความคิดแบบวิทยาศาสตร์ ทำอะไรต้องใช้สมองและใช้เหตุผลเป็นหลัก พื้นฐานแห่งความคิดอันเกิดจากอิทธิพลทางการศึกษาอบรมเช่นนี้ จึงเป็นธรรมดาที่ผู้คนสมัยนี้ยากจะมีความเชื่อว่ายังมีโลกหน้ารอคอยทุกคนอยู่  และเพราะไม่อาจใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้นอกจากผู้ที่บำเพ็ญสมาธิได้ฌานสมาบัติ นักปราชญ์ทางศาสนาหลายท่านจึงเลี่ยงที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้ เพราะจะเสียเวลาในการโต้เถียงทางเหตุผลไม่รู้จบ ทำให้ไม่มีประโยชน์ในการศึกษาและปฏิบัติธรรมแก่บุคคลนั้น


                  ข้อเขียนที่ถ่ายทอดสื่อสารออกมาส่วนใหญ่ในเว็บไซต์ก็ดี ที่อื่นก็ดีตลอดระยะเวลา ๓ ปีจึงไม่เน้นในเรื่องนี้ แต่ต้องการให้ผู้ที่เข้ามาศึกษาได้รับประโยชน์จากธรรมะและนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน  แม้ว่าบุคคลนั้นจะเชื่อว่ามีโลกหน้าหรือเชื่อว่ามีนรกสวรรค์หรือไม่ก็ตาม


                  ใครจะมีความเชื่อเช่นใดจึงไม่เป็นอุปสรรคและเป็นปัญหาในการศึกษาธรรมะในระบบนี้  ขอเพียงให้เราตั้งใจทำความดี  เจริญสติภาวนา ดูกายดูใจในขณะนี้ไว้เสมอ  เพียงเท่านี้เราก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้หนึ่งที่มีความจริงใจในศาสนาแล้ว


                   ใครไม่เชื่อว่ามีชาติหน้า ไม่เชื่อว่าตายแล้ว จิตวิญญาณยังต้องไปสู่ภพภูมิใหม่ ตามคุณภาพของดวงจิต ที่บุคคลนั้นสั่งสมไว้สมัยยังเป็นมนุษย์อย่างที่ท่านสอน   ก็ขอให้บำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ของผู้อื่นอย่างเต็มที่ให้สมกับที่ได้เกิดมา  หากร่างกายแตกดับลงวันใดแล้วได้พบกับภพภูมิที่ท่านพรรณนามา จะได้ไม่ต้องนึกเสียใจว่าหากตัวเราเชื่อพระพุทธเจ้าว่ามีชาติหน้า เราจะไม่ประมาทในชีวิตอยู่ไปวันๆ จะหมั่นสร้างกุศลให้มากกว่านี้


                     หากท่านใดเชื่อว่ามีภพภูมิรองรับดวงจิตเมื่อร่างกายนี้ถึงวาระแตกดับ วิญญาณยังต้องมีการปฏิสนธิตามกรรมดีกรรมชั่วที่ได้กระทำไว้ตราบใดที่ยังไม่บรรลุพระอรหันต์  การไม่เกิดอีกจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อจิตดวงนี้สิ้นกิเลสอย่างสิ้นเชิงที่เรียกว่า “พระขีณาสพ” จะทำให้เกิดหิริโอตัปปะมั่นคงในการรักษาศีล ทำให้ดวงจิตมีความอบอุ่น บำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านได้อย่างสมบูรณ์ก่อนสังขารจะแตกทำลายลง


                      ผู้ที่เพิ่งได้รู้จักข้อเขียนในเว็บไซต์ใหม่ๆและใครที่ยังมีความลังเลสงสัยในเรื่องเหล่านี้  ขอให้ข้ามเรื่องนี้ไปก่อน แล้วย้อนไปอ่านลานธรรมที่เขียนไว้ตั้งแต่เริ่มต้น  ข้อเขียนเหล่านั้นจะทำให้เรามีความอบอุ่นและมีที่พึ่ง ไม่ว่าเราจะเคยทำผิดทำถูก ทำดีทำชั่วมาเพียงใด  ข้อเขียนเหล่านั้นจะช่วยสร้างเสริมกำลังใจ จะทำให้ชีวิตของเรามีหลักชัย แม้ว่าจะตกน้ำตกท่า เปื้อนโคลน ขะมุกขะมอมมาแค่ไหนก็ตาม


                   ที่ต้องกล่าวถึงเรื่องโลกหลังความตายหรือโลกหน้าที่รอคอยทุกคนอยู่ไว้  ก็มุ่งหมายเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดบางอย่างของบางท่านว่าสงสัยจะไม่มีโลกหน้า  จะได้ไม่กลายเป็นมิจฉาทิฐิตามหลักของเถรวาทหากบุคคลใดปฏิเสธนรกสวรรค์นิพพาน  แต่ก็ไม่ต้องการให้ท่านทั้งหลายพากันนั่งกอดเข่ารอคอยตกนรกหรือกระหยิ่มจะไปสวรรค์ อย่างนั้นจะยังไม่ใช่สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อย่างแท้จริง


                    สำหรับบุคคลบางคน จำต้องสอนให้มีศรัทธาเชื่อนรกสวรรค์เพื่อเป็นการวางรากฐานสัมมาทิฐิไว้ก่อน  การได้ละชั่ว ทำความดี จะทำให้หัวใจมีความอบอุ่น มีที่พึ่ง  บางคนนั้นอาจสอนให้บำเพ็ญสมาธิเป็นหลัก บางคนนั้นอาจเน้นให้เกิดปัญญา ให้รู้จักการภาวนา เพราะบางคนได้บำเพ็ญความดีมามากแต่ก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวลในหัวใจ เนื่องจากคนเรามีจริตต่างกันเช่นนี้ การศึกษาและการเข้าถึงคำสอนจึงมีวิธีการแตกต่างกัน  แม้แต่วิธีปฏิบัติก็อาจแตกต่างกัน ถึงแม้จะชื่อว่านับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันก็ตาม


                     สิ่งที่ต้องการเน้นมากที่สุด คือการเจริญสติภาวนา ดูใจไว้เสมอ ให้รู้สึกตัวทั่วพร้อมไม่วาจะอยู่ในอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน  อย่ามัวไปวิตกกังวลหรือสาละวนกับการกระทำดีหรือชั่วที่ผ่านมาแล้ว


                     มนุษย์เราทุกคนไม่ว่าจะทำดีมาแค่ไหน ทำชั่วมาเพียงใด ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เราย่อมเป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสจะเข้าถึงที่พึ่งที่แท้จริงหรือเข้าถึงศาสนาได้เสมอ

 
                   เราจะไม่หลงทะนงตนว่าเราเป็นคนดี เราจะไม่ท้อแท้ดูถูกตัวเองที่เคยผิดพลาด แต่จะขอเข้มแข็งในการสร้างกุศลและคุณงามความดี  เพียงเรามีจุดยืนของชีวิตไว้เช่นนี้ เราย่อมไปสู่สุคติได้แม้ว่าเราจะมีความเชื่อว่ามีโลกหน้าตามที่ท่านกล่าวไว้หรือไม่ก็ตาม


                    หากพูดตามภาษาของนักปฏิบัติธรรมขั้นสุดยอด  ท่านจะบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องสาละวนกับเรื่องนรกสวรรค์ให้เสียพลังในการเจริญสติปัฏฐาน  แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในปัจจุบัน


                    การเจริญภาวนาด้วยการวางจิตเช่นนี้ คือการเจริญอริยมรรคเพื่อความหลุดพ้นจากวัฏฏะ ก้าวข้ามเรื่องนรกสวรรค์  เป็นการมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน อันเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญยิ่งนักแลฯ

 

                                                                                  คุรุอตีศะ
                                                                          ๔  เมษายน  ๒๕๕๙