ไร้การแสวงหา
- รายละเอียด
- หมวด: คติธรรม/ปรารภธรรม
ไร้การแสวงหา
ชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่หัวใจล้วนเต็มไปด้วยการแสวงหา แสวงหาเรื่อยไปอย่างไม่ลดละ แสวงหาอย่างท้อแท้และสิ้นหวัง แสวงหาโดยไม่รู้ว่าสิ่งที่แสวงหานั้นคืออะไร
การไม่รู้ว่าสิ่งที่แสวงหาตลอดมานั้นคืออะไร จึงมีผลอันลึกซึ้งต่อสภาวะจิตใจอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าจะได้อะไรมา เราก็จะไม่มีวันพึงพอใจในชีวิตอย่างแท้จริงได้เลย
ชีวิตของมนุษย์ส่วนใหญ่จึงเต็มไปด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง เพราะไม่ว่าจะพบกับความสำเร็จสักกี่ครั้งหรือได้อะไรมา มันจะไร้ความหมายทันทีที่เรามีสิ่งนั้นแล้ว หลังจากนั้นมนุษย์ก็จะเริ่มต้นแสวงหาในสิ่งใหม่อีกครั้ง
ไม่ว่าจะได้อะไรมาหรือไม่ ย่อมไม่มีวันสิ้นสุดการแสวงหา ไม่ว่าจะได้สิ่งนั้นหรือไม่ การแสวงหาก็ยังคงดำเนินต่อไป คนที่ยากไร้กำลังแสวงหา คนร่ำรวยก็กำลังแสวงหา คนเจ็บป่วยกำลังแสวงหา คนสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีก็กำลังแสวงหา คนมีอำนาจมียศมีเกียรติกำลังแสวงหา คนต่ำต้อยไร้อำนาจกำลังแสวงหา คนโง่กำลังแสวงหา คนมีปัญญาก็กำลังแสวงหา แต่ไม่มีใครรู้ชัดและเข้าใจว่าตนกำลังแสวงหาอะไรอยู่
การแสวงหาจะทำให้ดวงจิตของเราไม่อยู่กับปัจจุบันขณะนี้ การแสวงหาจะทำให้จิตออกนอกตัวและจะนำเราไปที่อื่นอยู่เสมอ การแสวงหาคือการปล่อยให้ชีวิตอยู่ในอนาคตตลอดเวลา ชีวิตไม่ได้อยู่กับความเป็นจริงในขณะนี้ จึงเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับการเจริญภาวนา
การแสวงหาคือการส่งจิตออกนอกตัว การแสวงหาคือความปรารถนาและคิดว่ามีที่ไหนสักแห่งที่เราต้องการ มีบางสิ่งที่ดีกว่าชีวิตในขณะนี้ ดีกว่าวันนี้ เรารู้สึกว่ามันมีอยู่ แต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ดังนั้นเราจึงแสวงหา จนกว่าจิตจะหยั่งลึกสู่การภาวนา การแสวงหาจึงจะยุติ
การที่ชีวิตเต็มไปด้วยการแสวงหา ก็เพราะว่าหัวใจเต็มไปด้วยความคลุมเครือและลังเลสงสัยไม่ชัดเจนว่า “ชีวิตนี้เกิดมาทำไม” เราเชื่อไปตามคนทั้งหลายว่าสิ่งที่เราแสวงหานั้นอยู่ในเงินทอง อำนาจ และเกียรติยศชื่อเสียง แต่เราก็เห็นคนผู้ทรงเกียรติ ทรงอิทธิพลมีอำนาจ และร่ำรวยเหล่านั้น ต่างก็กำลังพากันแสวงหาอะไรสักอย่างอยู่เหมือนกัน
เราเห็นคนร่ำรวยมหาศาล หรือเหล่าผู้ทรงอำนาจในแผ่นดินแสวงหาอะไรสักอย่างจนวาระสุดท้าย ความร่ำรวยจึงไม่ได้ช่วยอะไร อำนาจเกียรติยศก็ไม่ได้ช่วยอะไร ไม่ว่าจะมีอะไรในชีวิตมามากมาย ทุกชีวิตก็ยังเต็มไปด้วยความดิ้นรนแสวงหาต่อไป แม้ลมหายใจสุดท้าย ผู้คนก็ยังหาความสงบใจและปล่อยวางมิได้ หัวใจยังเต็มไปด้วยการแสวงหาและดิ้นรน
เงินทอง อำนาจ เกียรติยศ เป็นเพียงชื่อเรียกของสิ่งที่เราคิดว่าเมื่อได้มันมาแล้วจะทำให้เราพึงพอใจ มันช่วยให้รู้สึกว่าตัวเองกำลังแสวงหาอะไรบางอย่าง เพราะไม่อาจอยู่เฉยๆได้ การที่มนุษย์ไม่มีความรู้ในการที่จะอยู่เฉยๆได้ จึงต้องอาศัยอบายมุขเพื่อ “ฆ่าเวลา”
เรามีความเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีค่า ทำให้ผู้คนในสังคมยอมรับ เราจึงพยายามแสวงหาสิ่งเหล่านั้น เราต้องการเป็นคนมีคุณค่าและได้รับการยอมรับ เราจึงมุ่งมั่นและแสวงหาอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แม้จะป่วยเจียนตายเราก็ยังพอใจในการแสวงหา
เส้นทางของชีวิตทางโลกคือเส้นทางแห่งการแสวงหา เมื่อได้สิ่งหนึ่งมาแล้ว ได้รับความพอใจเพียงชั่วครู่ หลังจากนั้นก็เริ่มเบื่อหน่ายแล้วดิ้นรนแสวงหาสิ่งอื่นต่อไป หากไม่แสวงหาเงินทอง ก็แสวงหาอำนาจ ไม่แสวงหาอำนาจ ก็แสวงหาเกียรติยศ และสำหรับบางคนก็แสวงหาในทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมา ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่ความสงบสุขทางใจจึงอยู่ห่างไกลจากคนประเภทนี้
ผู้ที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าในเรื่องใด ย่อมรู้สึกในตอนสุดท้ายเสมอว่าเขาเหลือตัวคนเดียวในโลก เขาทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกอยู่คนเดียวโดยไม่กล้าบอกใคร เพราะเขาได้ทำให้ชีวิตทั้งชีวิตสูญเปล่าไปด้วยการแสวงหา โดยไม่อาจย้อนกลับคืนไปตั้งต้นใหม่ได้อีก
เขาแสวงหาแล้วแสวงหาอีก เดิมพันด้วยทุกสิ่งที่เขามี แม้ตอนนี้เขาประสบความสำเร็จแล้ว แต่กลับมีหัวใจที่ว่างเปล่าและมีจิตวิญญาณที่ไร้ความหมาย ไม่มีสิ่งใดให้เกิดความปลื้มปีติยินดี นี้คือสิ่งที่เรียกว่า “การประสบความสำเร็จในชีวิต” ของชาวโลกทั้งปวง
หากยังมีอะไรให้ต้องแสวงหาอยู่ ก็ยังชื่อว่าเป็นผู้ที่ฝักใฝ่ในทางโลกคนหนึ่งอยู่ หากไม่มีอะไรให้ต้องแสวงหา และเริ่มถามคำถามอันสำคัญว่า “ผู้ที่กำลังแสวงหาคนนี้คือใคร” นั่นคือผู้ที่มีความสนิทและจริงใจในศาสนาอย่างแท้จริง นั่นคือการเริ่มต้นก้าวเดินไปบนมรรคาแห่งอริยะ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าภาษาบาลีหรือภาษาทางศาสนาเรียกสิ่งนี้ว่าอะไร
เมื่อเริ่มตระหนักรู้สู่ภายใน เริ่มรู้ชัดว่าสิ่งที่แสวงหานั้นคืออะไร สิ่งที่วิ่งไล่ไขว่คว้าแสวงหามาเนิ่นนานจะเริ่มเลือนรางจางหายไป นั่นคือการเริ่มต้นแห่งการมีชีวิตใหม่ นั่นคือประตูหรือบันไดที่นำไปสู่ความเป็นอริยบุคคล
จะเกิดปัญญาเริ่มเข้าใจว่าปัญหาทั้งมวลของชีวิต เป็นเพราะการเที่ยวแสวงหาสิ่งอันล้ำค่าจากภายนอก เราคิดว่าการแสวงหาความรัก แสวงหาการยอมรับ แสวงหาอำนาจเกียรติยศเงินทอง จะทำให้ได้พบกับความสุขอันแท้จริงตามที่ผู้คนพาเราหลงทางและใฝ่ฝัน
หารู้ไม่ว่าความสุขอันแท้จริงนั้น ไม่ได้อยู่ภายนอก แต่อยู่ภายในตัวเราตลอดมา การแสวงหาทุกอย่างตามคนอื่น ก็เหมือนกับคนเดินตามหาแว่นตา ทั้งที่กำลังสวมอยู่นั่นเอง
เรามีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมอยู่แล้วเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เราคือส่วนหนึ่งแห่งความสมบูรณ์ของโลกนี้และจักรวาล เราคือจักรพรรดิ ไม่ใช่ขอทานผู้ยากไร้ นี้คือรหัสนัยของชีวิต
เพราะถูกหลอกให้แสวงหา เราจึงกลายเป็นผู้ดีตกยาก ต้องกลายเป็นขอทานเรื่อยไป หากวันหนึ่งโชคดี เพียงมีใครสักคนบอกความจริงแก่เราว่า “ท่านคือลูกมหาเศรษฐี มีทรัพย์มรดกมากมาย” วันนั้นเราก็ต้องเลิกทำตัวเป็นคนยากไร้และเลิกใช้ชีวิตเป็นขอทาน
ผู้มีความเมตตากล้าบอกความจริงแก่เราเช่นนั้น สมมุติชื่อเรียกกันว่า “พระอรหันต์หรือพระอริยเจ้า” ท่านเมตตายกเราขึ้นมาจากการแผดเผาของทะเลทราย นำไปสู่ความร่มเย็นของป่าไม้และลำธารน้ำตกอันใสเย็นชุมฉ่ำ นั่นคือแสงสว่างแห่งพระธรรมอันล้ำค่า
ผู้ที่พาเราเดินขอทานฝ่าไอร้อนของแสงแดด และเนื้อตัวมอมแมมด้วยฝุ่นผงแสนทุกข์ยากตลอดมา เรียกว่า “ปุถุชน” ยิ่งเดินตามหลังคนแบบนั้นไปนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งพบแต่ความอับจนหม่นไหม้ มีแต่ความทุกข์หมองหม่นและน้ำตาไหลรินตลอดทาง
เพียงตระหนักรู้ว่าสิ่งอันล้ำค่านั้นอยู่ภายในตัวเรา จิตก็จะเลิกแสวงหา เลิกเดินตามหลังขอทาน เขาจะกลายเป็นมหาเศรษฐีที่ไม่มีอะไรขาดแคลนอีกต่อไป นั่นแหละคือ “วิถีแห่งอริยบุคคล” ที่พระอรหันต์ทั้งปวงท่านพยายามสืบทอดและดำรงทรงพระศาสนาไว้ตลอดมานานแสนาน
คุรุอตีศะ
๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘