มีสติต่อทุกปรากฏการณ์
- รายละเอียด
- หมวด: คติธรรม/ปรารภธรรม
มีสติต่อทุกปรากฏการณ์
ก่อนอื่นต้องขออภัยต่อท่านทั้งหลาย ที่อาจรู้สึกหงุดหงิดใจที่การปรารภธรรมได้ขาดหายไปหลายวัน การหยุดเขียนธรรมะไปนานก็ด้วยเหตุผลบางประการ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้พลังงานในการทำหน้าที่บางอย่างซึ่งงานเขียนหรือการพิมพ์หนังสือจะเป็นอุปสรรค เพราะเป็นภาระหน้าที่ที่จำต้องใช้พลังศรัทธาเป็นตัวนำ อันต่างจากการแสดงธรรมหรือการเขียนธรรมะ
ดังที่เคยปรารภมาเกือบสองปีแล้วว่า การเขียนธรรมะออกสู่สาธารณะนี้ จุดมุ่งหมายสำคัญก็เพื่ออาศัยความทันสมัยของเทคโนโลยีสื่อสารออกไปสู่ผู้คนที่มีบารมีสัมพันธ์กัน จะได้รู้จักและพอได้แนะนำตักเตือนกันไปตามฐานะและโอกาส
ธรรมะเหล่านี้ที่สื่อออกไป ก็จะสามารถสื่อและถ่ายทอดออกมาสู่ท่านทั้งหลายเท่าที่จะทำได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ยังดีกว่านั่งบำเพ็ญตนเป็นผู้สันโดษ ดูต้นไม้ใบหญ้า ดูกระรอก แมวหมา ดูนกกาไปแต่ละวันโดยไม่ทำอะไร เพราะอย่างน้อยคอมพิวเตอร์ก็มีผู้ใจบุญบริจาคไว้ อินเทอร์เน็ตเขาก็อุตส่าห์พากันออกค่าใช้จ่ายให้ การจะไม่พูดไม่เขียนอะไร ก็ดูจะไร้น้ำใจเต็มที
นับตั้งแต่นี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงใช้ชีวิตด้วยความสำรวมมีสติไม่ประมาทให้ยิ่งกว่าที่ผ่านมา ตามดวงชะตาของบ้านเมืองนับตั้งแต่วันที่ ๑๒ กรกฎาคม เป็นต้นไป บ้านเมืองจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สิ่งต่างๆที่เคยดูเหมือนสงบเรียบร้อยและควบคุมได้ จะเริ่มเกิดความวุ่นวายด้วยเหตุการณ์สารพันและไม่คาดคิดไว้ล่วงหน้า สิ่งที่ซุกไว้ใต้พรมก็จะระเบิดออกมา
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ เมื่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ใหม่ๆ พระองค์ได้ทรงพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าว่า “ราชวงศ์ของเราจะมีความผาสุกไปได้ ๑๕๐ปี” ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น เพราะเมื่อถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งกรุงรัตนโกสินทร์มีอายุครบ ๑๕๐ ปี ก็มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
นอกจากนั้นยังมีคำทำนายบางแห่งกล่าวไว้เพิ่มเติมอีกว่า “แต่ถ้ามีการแก้ไขดวงชะตาบ้านเมืองได้สำเร็จ กรุงเทพมหานครก็จะยังมีความผาสุกต่อไปได้อีก ๘๐ ปี หลังจากนั้นกรุงรัตนโกสินทร์หรือชะตาของกรุงเทพมหานครจะมีแต่ความเสื่อมถอยลงไปถ่ายเดียว”
ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ คือปีที่กรุงเทพมหานครมีอายุครบ ๘๐ ปี เมื่อนับต่อจากปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ หากพูดในแง่โหราศาสตร์ตามที่มีการบันทึกไว้ดังกล่าว กรุงเทพมหานครหากเปรียบเป็นชีวิตของคน จึงนับได้ว่าถึงกาลหมดอายุขัยแล้ว
หากจะพูดในแง่ของทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ชั้นสูงก็ล้วนพูดตามหลักวิชาในทำนองเดียวกันว่า ต่อไปกรุงเทพมหานครจะกลายเป็นเมืองบาดาลในอีก ๑๐ ปี
แต่ถ้าให้พูดแบบ “มโนเอาเอง” แบบไม่ต้องเกรงใจใคร ก็อยากพูดว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยไทยจะต้องย้ายเมืองหลวงได้แล้ว การย้ายเมืองหลวงอันเป็นเรื่องใหญ่ จะต้องกล้าตัดสินใจในยุคที่บ้านเมืองปกครองแบบอำนาจเผด็จการ จึงจะทำได้สำเร็จและเรียบร้อย
เมื่อมีการย้ายเมืองหลวงแล้ว ประเทศไทยจึงจะเริ่มต้นเข้าสู่ยุคประชาธิปไตย จะเกิดการปฏิวัติหรือพลิกโฉมหน้าทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ศาสนา และด้านอื่นๆมากมาย แล้วประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจของภูมิภาคในอีก ๑๐ ปี ทรัพยากรที่ยังคลุมเครือลึกลับซับซ้อน ก็จะโผล่ขึ้นมาให้ประจักษ์แก่สายตาประชาชนจนประเมินค่ามิได้
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น อันเป็นวันแห่งความเจริญรุ่งเรืองตามที่ว่า ประเทศไทยจะต้องเกิดเหตุการณ์อันสำคัญและรุนแรงชนิดที่ผู้คนในยุคสมัยนี้ไม่เคยพบเสียก่อน และนั่นคือจุดสำคัญที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทุกสิ่งทุกอย่างในอนาคตอันใกล้นี้
ด้วยเหตุนี้นี่แหละ ครูบาอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาทั้งหลาย ทั้งท่านที่ละสังขารไปแล้วและท่านที่ยังดำรงสังขารอยู่ ท่านจึงพยายามตักเตือนผู้คนทั้งหลายเหมือนๆกันว่า ให้พากันหมั่นรักษาศีล ฟังธรรม หมั่นปฏิบัติธรรม จงให้ความสำคัญในเรื่องธรรมะ ใครที่สามารถสละทางโลกออกบำเพ็ญได้ ก็จงตัดเยื่อใยตัดอาลัยออกบำเพ็ญบารมีให้ยิ่งยวด เพื่อจะได้ใช้พลังจิตของตนที่ฝึกฝนไว้ดีแล้วช่วยเหลือผู้คนในยามบ้านเมืองและโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤติหรือคับขันได้
สำหรับผู้ที่กำลังใจยังอ่อน ไม่สามารถฝืนใจและเด็ดเดี่ยวสละทางโลกได้ เมื่ออยู่ในครอบครัว ก็อย่ามัวแต่สาละวนเรื่องความสุขในครอบครัวหรือเรื่องการทำมาหากินอยู่เพียงแค่นั้น เพราะสิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถช่วยเราได้เลยในยามคับขัน มีแต่จะห่วงหาอาลัยคิดถึงกันจนไม่เป็นอันทำอะไร เพราะไม่มีเนกขัมมะบารมี คือฝึกจิตให้คุ้นเคยต่อความพลัดพรากมาก่อน
สามีภรรยาจงชักชวนและพากันหมั่นบำเพ็ญรักษาศีล อย่างน้อยก็ขอให้มีศีล ๕ ประจำตัวไว้ หากตอนนี้ชีวิตกำลังสมหวังหรือกำลังมีความสุขในครอบครัว ก็อย่าลบหลู่ดูหมิ่นผู้ทรงศีล สิ่งลี้ลับหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วชีวิตหรือครอบครัวจะผ่านพ้นอันตราย จนกระทั่งบ้านเมืองผ่านพ้นยุคเข็ญไปได้ เมื่อโลกและบ้านเมืองได้เคลื่อนเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ นั่นแหละจึงค่อยตั้งใจบากบั่นสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ แล้วสิ่งที่ปรารถนาจะสำเร็จและสมหวังดังมุ่งหมายไว้ในใจ
การปฏิบัติธรรมอันจำเป็นอย่างยิ่งในยามที่บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ จึงได้แก่การหมั่นฝึกสติและสัมปชัญญะคือให้มีความรู้สึกตัวในทุกกาล ทุกสถานที่ ไว้บ่อยๆเนืองๆอยู่เสมอ
ใครที่กำลังใจอันกล้าแข็งสามารถตัดปลิโพธความกังวลเสียได้ จงสละการงานทางโลกเสีย แล้วเข้าสู่ป่า หรือแสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อบำเพ็ญอัปปนาสมาธิตามวาสนาบารมีเดิมของตนต่อไป การบำเพ็ญสมาธิแบบนี้ต้องตัดขาดจากกามารมณ์และอาชีพการงานทั้งปวงแล้วต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดอยู่กับครูบาอาจารย์เพื่อคอยสอบอารมณ์
แต่สำหรับท่านทั้งหลายซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ยินดีพอใจในครอบครัว เราจงหมั่นทำความเข้าใจในสมาธิภาวนาอันเหมาะสมกับภาวะและเพศแห่งการครองเรือนให้คุ้นเคยไว้
สมาธิภาวนาแบบนี้ ไม่ต้องบำเพ็ญตนแยกตัวออกจากครอบครัวหรือสังคมแบบการบำเพ็ญสมาธิของนักบวชฤาษีชีไพร แต่คือการตระหนักรู้มีสติคุ้มครองใจไปแต่ละขณะต่อทุกปรากฏการณ์ โดยไม่มีการเลือกสภาวะและอารมณ์ที่ตนกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ตามความเป็นจริง ที่โบราณท่านสอนให้บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ก็คือการให้หมั่นทำสมาธิภาวนาแบบนี้
สมาธิภาวนาแบบนี้ จะทำให้ดวงจิตกล้าหาญ กล้าผจญภัยต่อทุกสรรพสิ่ง ไม่ยึดติดว่าจะต้องมีแต่ความสงบสำรวม แม้อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายและปัญหาสารพัน ชีวิตในแต่ละวันก็จะผ่านไปได้ ดวงจิตจะมีความแววไวมีไหวพริบปฏิภาณ สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันท่วงทีไม่ลังเลต่อสิ่งใด เป็นสมาธิที่สามีช่วยเหลือภรรยาได้ ภรรยาช่วยเหลือสามีได้ เพราะอำนาจแห่งความแววไวของสติและปัญญา ผู้ที่รู้จักสมาธิชนิดนี้ จะช่วยเหลือสังคมได้มาก
จงมีสติ ตื่นรู้ต่อทุกปรากฏการณ์ สมาธิก็อยู่ในนั้น ความรักก็อยู่ในนั้น เมื่อจิตดวงนี้ตื่น รู้ และเบิกบาน ดนตรีทิพย์ก็จะเริ่มขับขาน โลกใบนี้ทั้งใบก็จะงดงามและเป็นของเรา
คุรุอตีศะ
๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๘