รักคือภูมิคุ้มกัน

รักคือภูมิคุ้มกัน

 

 

 

                เมื่อในชีวิตจริงของเราคือการมีคู่ครอง  เราก็ต้องไม่มองข้ามความจริงอย่างหนึ่งว่าความเป็นสามีภรรยานั้น  แท้จริงแล้วก็มีคุณต่อกันอย่างลึกซึ้งอยู่ในตัว


                เราพึงตระหนักและสำนึกรู้คุณในการที่ได้มีวาสนามาร่วมชีวิตกันไว้ให้มาก  แล้วความลำบากและอุปสรรคทั้งปวงจะถูกทลายลง ด้วยหัวใจรักที่ประกอบด้วยความสูงส่ง   เพราะความรักจะกลายเป็นปราการและภูมิคุ้มกันอันสำคัญยิ่งในชีวิตจริงของเรา


                สำนึกในคุณว่า สามีของเราได้ช่วยเป็นหลักชัยให้ครอบครัว  ทำให้เราเกิดความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย  เมื่อมีเขาอยู่ใกล้ ก็ดูเหมือนอุปสรรคปัญหาที่เคยมีอยู่มากมาย  ได้กลายเป็นเรื่องเล็กลงโดยพลัน  เพียงได้เห็นรอยยิ้มของเขาในยามได้ปรึกษากัน  ก็ทำให้โลกใบนี้นั้นเกิดความอบอุ่นน่าอยู่อาศัย  ชีวิตของเราได้มีสง่าราศีเป็นที่ยำเกรงของใคร  ก็เพราะมีเขาเป็นหลักและเป็นกำแพงคอยกางกั้นอันตรายทั้งหลาย  ทำให้เรายืนอยู่บนโลกใบนี้อย่างสง่างามเรื่อยมา


                 ภรรยาก็มีคุณต่อเราไม่น้อย  เธอต้องคอยยกน้ำให้ดื่ม คดข้าวให้ทานและคอยดูแลความเป็นอยู่ให้เราอย่างซ้ำซากวันแล้ววันเล่า  เสมือนหนึ่งว่าไม่มีการเบื่อหน่าย  ซึ่งแท้ที่จริงแล้วบางวันเมื่อต่างคนต่างทำงาน เธออาจเหนื่อยล้าจนตาลาย แต่ก็ไม่กล้าเล่าให้ฟัง ด้วยเกรงว่าเราจะเป็นห่วงและไม่สบายใจ  กับพ่อแม่ของเธอซึ่งเลี้ยงดูเธอมาแท้ๆ เธอก็ยังไม่ได้ปรนนิบัติเอาอกเอาใจเท่ากับตัวเรา ซึ่งต่างก็มีพ่อแม่เลี้ยงดูมาจนโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วจึงได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตด้วยกัน เพราะมีเธออยู่เคียงข้างคอยส่งเสริมให้กำลังใจ  ความสำเร็จในวันนี้จึงได้เกิดขึ้นมา


                  การสำนึกรู้คุณที่สามีภรรยาต่างมีต่อกัน  จะทำให้หัวใจของคนทั้งสองถูกยกให้สูงเด่นขึ้นกลายเป็นความรักของเหล่าเทพเทวา  แม้ว่าชีวิตคู่ของเราในปัจจุบัน จะยังมีฐานะต่ำต้อยหรือยากจน ใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อหมองคล้ำด้วยลมแดดที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน  เราก็จะยากจนแต่ทรัพย์สินภายนอกเท่านั้น แต่ภายในหัวใจจะร่ำรวยและเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา ด้วยอานุภาพแห่งความรักที่ประกอบด้วยการสำนึกรู้คุณต่อกัน  จะเป็นภูมิคุ้มกันอย่างยิ่งใหญ่ กลายเป็นสมาธิภาวนาอยู่ในตัวของการมีชีวิตคู่หรือในการครองเรือน


                    หากรักที่ซาบซึ้งเกิดขึ้นในหัวใจเช่นนี้  ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิภาวนาหรือเคร่งครัดตามรูปแบบที่ทำมาอีกแล้ว  จงใช้พลังแห่งความรักนั้นสร้างสรรค์รังรักน้อยๆ พร้อมกับหมั่นบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาไปพร้อมกับการประกอบอาชีพนั้นด้วยความมีสติประคองใจ  ชีวิตของเราจะก้าวพ้นจากความอับเฉา  เข้าสู่วงจรแห่งชีวิตใหม่  จะกลายเป็นชีวิตผู้ครองเรือนที่ปฏิบัติธรรม ที่ต่างฝ่ายต่างรักการบำเพ็ญกุศลความดีอย่างไม่มีการเบื่อหน่ายหรือเสื่อมคลายอีกเลย


                   ในท่ามกลางความรักนั้น  ย่อมคือบรรยากาศของการเป็นผู้ให้ ความเมตตาปรานีและการเอื้อเฟื้อช่วยเหลือแบ่งปัน    อย่ามัวตั้งแง่หรือเรียกร้องเอาความรักจากอีกฝ่ายหนึ่ง ให้หัวใจที่ดีงามอยู่แล้วต้องพลอยมามีมลทินหรือเกิดมัวหมองโดยไม่มีคุณค่าอันใด  แต่เราจงเป็นฝ่ายมอบความรักและความสนิทใจให้แก่เขาโดยปราศจากเงื่อนไข  ความรักจะผลิบานอยู่ในหัวใจอย่างไร้กาลเวลา


                    ชีวิตนอกบ้าน เต็มไปด้วยการแข่งขัน ต่อสู้ ดิ้นรน แก่งแย่งกับผู้อื่นมากพอแล้ว  เมื่อกลับคืนสู่บ้าน เราทั้งสองควรเป็นเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ที่ไม่มีการต่อสู้หรือแข่งขันกับใครอีกต่อไป เราคือผู้ให้  บ้านคือปราสาทแห่งความรักที่เราจะนอนหลับได้อย่างสนิทโดยปราศจากการระแวงภัย  ภายในบ้านจึงเป็นอาณาจักรแห่งความรัก  ที่อยู่เหนือการเล่นเกมการเมืองใดๆ  มีแต่ความรักและความไว้วางใจ นี้คือความยิ่งใหญ่ของบ้านสำหรับชีวิตของผู้ครองเรือน


                     หากไม่มีเขาคนนี้  เราก็คงไม่มีใครให้ความเกรงอกเกรงใจขนาดนี้เป็นแน่  เพราะมีเขามาคอยปกปักคุ้มครอง  เราจึงมีโอกาสได้พบสิ่งดีๆมากมาย  ซึ่งแต่ก่อนนั้นไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีวาสนาได้พบพาน  สตรีเช่นเราจึงก้าวเดินไปบนเส้นทางชีวิตด้วยความมั่นใจ  ชีวิตที่มีวันนี้ได้ ก็เพราะมีเขาช่วยนำพาสร้างสรรค์ขึ้นมาแท้ๆ


                       หากไม่มีเธอคนนี้มาคอยยืนอยู่เคียงข้าง   เราอาจไม่มีความหวังและมีกำลังใจสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างฐานะได้ถึงเพียงนี้เป็นแน่  เราอาจเป็นคนหนุ่มที่ดีมีศักยภาพในตัว  แต่หากไม่มีเธอคอยยืนเคียงข้างคอยให้กำลังใจและร่วมกันฟันฝ่า  บางทีเราอาจเป็นต้นไม้พันธุ์ดีแต่แคระแกร็น เพราะไม่มีคนที่เข้าใจคอยรดน้ำพรวนดิน จนต้นไม้พันธุ์ดีต้นนี้งอกงามเจริญเติบโตเหมือนกับที่มีเธอคอยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราตลอดมา


                        การสำนึกรู้คุณต่อกันระหว่างสามีภรรยา  จะทำให้ชีวิตกลายเป็นการสวดภาวนาร่วมกันโดยไม่มีการเอ่ยคำท่องบ่น  เพราะความรักนั้นจะกลายเป็นภูมคุ้มกันให้แก่ชีวิตแก่คนทั้งสองคน  พลังแห่งความรักจะกลายเป็นเครื่องรางของขลังที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าวัตถุอื่นใด


                        เมื่อชีวิตจริงของเราคือการครองเรือนมีชีวิตคู่และต้องประกอบอาชีพ  เราไม่จำต้องไปปฏิบัติสมาธิเพื่อได้ฌานสมาบัติ เหมือนดังประวัติของครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เราได้อ่านเหล่านั้น  วิถีของท่านสร้างมาเพื่อทำหน้าที่อย่างหนึ่ง  ส่วนเรานั้นสร้างมาอย่างหนึ่ง วิถีของเราจึงได้มาใช้ชีวิตคู่หรือได้แต่งงานกัน  จงอาศัยพลังแห่งความรักที่เราเริ่มต้นไว้ดีแล้วนั้น  เป็นพลังสร้างสรรค์และพัฒนาชีวิตให้สูงขึ้นตามลำดับด้วยทาน ศีล ภาวนา  ชีวิตก็จะมีความสุขในการปฏิบัติธรรมในฐานะผู้ครองเรือน  สติจะงอกงามขึ้น ประกอบด้วยความรู้ ตื่น และเบิกบาน


                          ความเป็นสามีภรรยาย่อมมีคุณต่อกันอย่างลึกซึ้งอยู่ในตัว  เมื่อต่างฝ่ายต่างมองเห็นคุณค่าของกันและกัน  ความรักความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจกันจะบังเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยปราศจากมายาและการปรุงแต่ง  จะไม่ต้องพยายามหาวิธีหรือเทคนิคมัดใจอีกฝ่ายหนึ่งไว้ ให้เป็นที่วิตกและหนักอกหนักใจ  เพราะความเมตตาและการสำนึกคุณต่อกันนี้ จะมีอานุภาพมัดใจอีกฝ่ายหนึ่งไว้ โดยที่อีกฝ่ายก็เต็มใจให้อีกฝ่ายมัดหัวใจของตัวเองไว้ด้วยความยินดียิ่งตราบนานเท่านาน


                            พลังแห่งความรักความเมตตา ที่ประกอบด้วยความสำนึกรู้คุณที่มีต่อกันนี้  จะกลายเป็นการสวดภาวนาร่วมกัน  จะกลายเป็นเครื่องรางของขลัง  ที่จะคอยคุ้มครองป้องกันให้ชีวิตผ่านอุปสรรคขวากหนามทั้งหลาย  ภัยอันตรายใดๆมิอาจมากล้ำกรายได้


                           ความรักเช่นนี้จึงคือพลังอำนาจที่ศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่  เป็นภูมิคุ้มกันของชีวิต  เป็นเกราะแก้วที่คอยปกป้องคุ้มครองภัย  อันเหนือกว่าเครื่องรางของขลังหรือวัตถุภายนอกที่ผู้คนแสวงหาทั้งปวง

 

                                                                             คุรุอตีศะ
                                                                   ๑๔  มิถุนายน  ๒๕๕๘