รักคือภูมิคุ้มกัน
- รายละเอียด
- หมวด: คติธรรม/ปรารภธรรม
รักคือภูมิคุ้มกัน
เมื่อในชีวิตจริงของเราคือการมีคู่ครอง เราก็ต้องไม่มองข้ามความจริงอย่างหนึ่งว่าความเป็นสามีภรรยานั้น แท้จริงแล้วก็มีคุณต่อกันอย่างลึกซึ้งอยู่ในตัว
เราพึงตระหนักและสำนึกรู้คุณในการที่ได้มีวาสนามาร่วมชีวิตกันไว้ให้มาก แล้วความลำบากและอุปสรรคทั้งปวงจะถูกทลายลง ด้วยหัวใจรักที่ประกอบด้วยความสูงส่ง เพราะความรักจะกลายเป็นปราการและภูมิคุ้มกันอันสำคัญยิ่งในชีวิตจริงของเรา
สำนึกในคุณว่า สามีของเราได้ช่วยเป็นหลักชัยให้ครอบครัว ทำให้เราเกิดความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย เมื่อมีเขาอยู่ใกล้ ก็ดูเหมือนอุปสรรคปัญหาที่เคยมีอยู่มากมาย ได้กลายเป็นเรื่องเล็กลงโดยพลัน เพียงได้เห็นรอยยิ้มของเขาในยามได้ปรึกษากัน ก็ทำให้โลกใบนี้นั้นเกิดความอบอุ่นน่าอยู่อาศัย ชีวิตของเราได้มีสง่าราศีเป็นที่ยำเกรงของใคร ก็เพราะมีเขาเป็นหลักและเป็นกำแพงคอยกางกั้นอันตรายทั้งหลาย ทำให้เรายืนอยู่บนโลกใบนี้อย่างสง่างามเรื่อยมา
ภรรยาก็มีคุณต่อเราไม่น้อย เธอต้องคอยยกน้ำให้ดื่ม คดข้าวให้ทานและคอยดูแลความเป็นอยู่ให้เราอย่างซ้ำซากวันแล้ววันเล่า เสมือนหนึ่งว่าไม่มีการเบื่อหน่าย ซึ่งแท้ที่จริงแล้วบางวันเมื่อต่างคนต่างทำงาน เธออาจเหนื่อยล้าจนตาลาย แต่ก็ไม่กล้าเล่าให้ฟัง ด้วยเกรงว่าเราจะเป็นห่วงและไม่สบายใจ กับพ่อแม่ของเธอซึ่งเลี้ยงดูเธอมาแท้ๆ เธอก็ยังไม่ได้ปรนนิบัติเอาอกเอาใจเท่ากับตัวเรา ซึ่งต่างก็มีพ่อแม่เลี้ยงดูมาจนโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วจึงได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตด้วยกัน เพราะมีเธออยู่เคียงข้างคอยส่งเสริมให้กำลังใจ ความสำเร็จในวันนี้จึงได้เกิดขึ้นมา
การสำนึกรู้คุณที่สามีภรรยาต่างมีต่อกัน จะทำให้หัวใจของคนทั้งสองถูกยกให้สูงเด่นขึ้นกลายเป็นความรักของเหล่าเทพเทวา แม้ว่าชีวิตคู่ของเราในปัจจุบัน จะยังมีฐานะต่ำต้อยหรือยากจน ใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อหมองคล้ำด้วยลมแดดที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน เราก็จะยากจนแต่ทรัพย์สินภายนอกเท่านั้น แต่ภายในหัวใจจะร่ำรวยและเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา ด้วยอานุภาพแห่งความรักที่ประกอบด้วยการสำนึกรู้คุณต่อกัน จะเป็นภูมิคุ้มกันอย่างยิ่งใหญ่ กลายเป็นสมาธิภาวนาอยู่ในตัวของการมีชีวิตคู่หรือในการครองเรือน
หากรักที่ซาบซึ้งเกิดขึ้นในหัวใจเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิภาวนาหรือเคร่งครัดตามรูปแบบที่ทำมาอีกแล้ว จงใช้พลังแห่งความรักนั้นสร้างสรรค์รังรักน้อยๆ พร้อมกับหมั่นบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาไปพร้อมกับการประกอบอาชีพนั้นด้วยความมีสติประคองใจ ชีวิตของเราจะก้าวพ้นจากความอับเฉา เข้าสู่วงจรแห่งชีวิตใหม่ จะกลายเป็นชีวิตผู้ครองเรือนที่ปฏิบัติธรรม ที่ต่างฝ่ายต่างรักการบำเพ็ญกุศลความดีอย่างไม่มีการเบื่อหน่ายหรือเสื่อมคลายอีกเลย
ในท่ามกลางความรักนั้น ย่อมคือบรรยากาศของการเป็นผู้ให้ ความเมตตาปรานีและการเอื้อเฟื้อช่วยเหลือแบ่งปัน อย่ามัวตั้งแง่หรือเรียกร้องเอาความรักจากอีกฝ่ายหนึ่ง ให้หัวใจที่ดีงามอยู่แล้วต้องพลอยมามีมลทินหรือเกิดมัวหมองโดยไม่มีคุณค่าอันใด แต่เราจงเป็นฝ่ายมอบความรักและความสนิทใจให้แก่เขาโดยปราศจากเงื่อนไข ความรักจะผลิบานอยู่ในหัวใจอย่างไร้กาลเวลา
ชีวิตนอกบ้าน เต็มไปด้วยการแข่งขัน ต่อสู้ ดิ้นรน แก่งแย่งกับผู้อื่นมากพอแล้ว เมื่อกลับคืนสู่บ้าน เราทั้งสองควรเป็นเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ที่ไม่มีการต่อสู้หรือแข่งขันกับใครอีกต่อไป เราคือผู้ให้ บ้านคือปราสาทแห่งความรักที่เราจะนอนหลับได้อย่างสนิทโดยปราศจากการระแวงภัย ภายในบ้านจึงเป็นอาณาจักรแห่งความรัก ที่อยู่เหนือการเล่นเกมการเมืองใดๆ มีแต่ความรักและความไว้วางใจ นี้คือความยิ่งใหญ่ของบ้านสำหรับชีวิตของผู้ครองเรือน
หากไม่มีเขาคนนี้ เราก็คงไม่มีใครให้ความเกรงอกเกรงใจขนาดนี้เป็นแน่ เพราะมีเขามาคอยปกปักคุ้มครอง เราจึงมีโอกาสได้พบสิ่งดีๆมากมาย ซึ่งแต่ก่อนนั้นไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีวาสนาได้พบพาน สตรีเช่นเราจึงก้าวเดินไปบนเส้นทางชีวิตด้วยความมั่นใจ ชีวิตที่มีวันนี้ได้ ก็เพราะมีเขาช่วยนำพาสร้างสรรค์ขึ้นมาแท้ๆ
หากไม่มีเธอคนนี้มาคอยยืนอยู่เคียงข้าง เราอาจไม่มีความหวังและมีกำลังใจสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างฐานะได้ถึงเพียงนี้เป็นแน่ เราอาจเป็นคนหนุ่มที่ดีมีศักยภาพในตัว แต่หากไม่มีเธอคอยยืนเคียงข้างคอยให้กำลังใจและร่วมกันฟันฝ่า บางทีเราอาจเป็นต้นไม้พันธุ์ดีแต่แคระแกร็น เพราะไม่มีคนที่เข้าใจคอยรดน้ำพรวนดิน จนต้นไม้พันธุ์ดีต้นนี้งอกงามเจริญเติบโตเหมือนกับที่มีเธอคอยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราตลอดมา
การสำนึกรู้คุณต่อกันระหว่างสามีภรรยา จะทำให้ชีวิตกลายเป็นการสวดภาวนาร่วมกันโดยไม่มีการเอ่ยคำท่องบ่น เพราะความรักนั้นจะกลายเป็นภูมคุ้มกันให้แก่ชีวิตแก่คนทั้งสองคน พลังแห่งความรักจะกลายเป็นเครื่องรางของขลังที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าวัตถุอื่นใด
เมื่อชีวิตจริงของเราคือการครองเรือนมีชีวิตคู่และต้องประกอบอาชีพ เราไม่จำต้องไปปฏิบัติสมาธิเพื่อได้ฌานสมาบัติ เหมือนดังประวัติของครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เราได้อ่านเหล่านั้น วิถีของท่านสร้างมาเพื่อทำหน้าที่อย่างหนึ่ง ส่วนเรานั้นสร้างมาอย่างหนึ่ง วิถีของเราจึงได้มาใช้ชีวิตคู่หรือได้แต่งงานกัน จงอาศัยพลังแห่งความรักที่เราเริ่มต้นไว้ดีแล้วนั้น เป็นพลังสร้างสรรค์และพัฒนาชีวิตให้สูงขึ้นตามลำดับด้วยทาน ศีล ภาวนา ชีวิตก็จะมีความสุขในการปฏิบัติธรรมในฐานะผู้ครองเรือน สติจะงอกงามขึ้น ประกอบด้วยความรู้ ตื่น และเบิกบาน
ความเป็นสามีภรรยาย่อมมีคุณต่อกันอย่างลึกซึ้งอยู่ในตัว เมื่อต่างฝ่ายต่างมองเห็นคุณค่าของกันและกัน ความรักความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจกันจะบังเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยปราศจากมายาและการปรุงแต่ง จะไม่ต้องพยายามหาวิธีหรือเทคนิคมัดใจอีกฝ่ายหนึ่งไว้ ให้เป็นที่วิตกและหนักอกหนักใจ เพราะความเมตตาและการสำนึกคุณต่อกันนี้ จะมีอานุภาพมัดใจอีกฝ่ายหนึ่งไว้ โดยที่อีกฝ่ายก็เต็มใจให้อีกฝ่ายมัดหัวใจของตัวเองไว้ด้วยความยินดียิ่งตราบนานเท่านาน
พลังแห่งความรักความเมตตา ที่ประกอบด้วยความสำนึกรู้คุณที่มีต่อกันนี้ จะกลายเป็นการสวดภาวนาร่วมกัน จะกลายเป็นเครื่องรางของขลัง ที่จะคอยคุ้มครองป้องกันให้ชีวิตผ่านอุปสรรคขวากหนามทั้งหลาย ภัยอันตรายใดๆมิอาจมากล้ำกรายได้
ความรักเช่นนี้จึงคือพลังอำนาจที่ศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ เป็นภูมิคุ้มกันของชีวิต เป็นเกราะแก้วที่คอยปกป้องคุ้มครองภัย อันเหนือกว่าเครื่องรางของขลังหรือวัตถุภายนอกที่ผู้คนแสวงหาทั้งปวง
คุรุอตีศะ
๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๘