ยอมให้เข้าใจผิด
- รายละเอียด
- หมวด: คติธรรม/ปรารภธรรม
ยอมให้เข้าใจผิด
ชีวิตของคนเรา บางครั้งต้องกล้ายอมให้คนเข้าใจผิดบ้าง เพราะนั่นคือวิธีเดียวที่จะสามารถทำในสิ่งที่สร้างสรรค์และถูกต้อง ในขณะที่คนอื่นมองด้วยความไม่เข้าใจ เพราะเขาตามความคิดที่ก้าวหน้าหรือการมองการณ์ไกลไม่ทันในขณะนั้น
การยอมให้คนอื่นเข้าใจผิด คือความเข้มแข็งของดวงจิตที่ทรงพลังยิ่งนัก เป็นทั้งขันติความอดทน เป็นทั้งสมาธิและสติปัญญาอยู่ในตัว คนที่มีพลังจิตไม่กล้าแข็งพอ จะไม่สามารถต้านทานและอดทนต่อความไม่เข้าใจหรือความเข้าใจผิดของผู้คนได้เลย
นักปราชญ์ นักวิทยาศาสตร์ หรืออัจฉริยบุคคลของโลกที่มีชื่อเสียงอมตะ ล้วนแล้วแต่ผ่านความทุกข์ยากและความเข้าใจผิดของผู้คนร่วมยุคร่วมสมัยทั้งสิ้น กาลิเลโอต้องเสี่ยงต่อชีวิตและความตายเพื่อแลกเอาความถูกต้องในการพิสูจน์ว่าโลกกลม อันถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงมากในสมัยนั้น ที่บังอาจไปพิสูจน์ในสิ่งที่ค้านกับพระคัมภีร์และคริสตจักรที่มีความเชื่อตลอดมาว่าโลกแบน และผลแห่งการพากเพียรอดทนของกาลิเลโอ ได้ส่งผลทำให้หลังจากนั้นโลกก็เข้าสู่ยุคทองของวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงนับแต่นั้นมา
ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ก็ต้องอดทนต่อความเข้าใจผิดและเผชิญกับความไม่พอใจของผู้คนในสมัยนั้นที่ลินคอล์นพยายามจะเลิกทาสให้หมดไป ผู้คนรุ่นบุกเบิกซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ดีอพยพมาจากอังกฤษและยุโรป ต่างต้องการจะนำเอาชาวพื้นเมืองมาเป็นทาสรับใช้ตามใจปรารถนา เมื่อลินคอล์นจะมาล้มเลิกระบบทาส จึงเป็นเรื่องใหญ่เพราะเป็นการสวนกระแสสังคมและเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้มาก่อน จนทำให้ต้องทำสงครามกลางเมืองอยู่หลายปี ในที่สุดประธานาธิบดีคนที่ ๑๖ ของสหรัฐอเมริกาคือลินคอล์นก็ทำได้สำเร็จ
แม้ว่าการเลิกทาสในทวีปอเมริกาจะพบกับความสำเร็จ แต่ผลพวงจากความเข้าใจผิดที่ศัตรูและประชาชนซึ่งตามความคิดที่ยิ่งใหญ่ของลินคอล์นไม่ทัน ก็ทำให้ลินคอล์นต้องถูกยิงตายในโรงละครสังเวยความเข้าใจผิดนั้น อันทำให้ลินคอล์นกลายเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและทรงความเป็นอมตะที่ไม่มีใครเทียบเท่ามาจนทุกวันนี้
ในชีวิตของคนเราก็เช่นกัน เราไม่อาจจะทำให้ใครเข้าใจเราไปทุกขั้นทุกตอนได้ หากเราต้องอธิบายให้ทุกคนมีความคิดเห็นคล้อยตามเราหมดทุกคนเสียก่อน เราจึงจะตกลงใจทำในสิ่งนั้น เราจะไม่มีโอกาสทำในสิ่งนั้น และตลอดชีวิตเราจะไม่มีโอกาสสร้างสรรค์สิ่งดีงามไว้ให้แก่โลกใบนี้เลย
เมื่อครั้งตัดสินใจเดินทางออกจากกรุงเทพมหานคร กลับสู่ถิ่นกำเนิดโดยไม่มีเงินติดตัวแม้แต่บาทเดียวเพื่อมาก่อตั้ง “อาศรมเกพลิตา” เมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๓๗ ก็มานอนตากฝนไม่มีที่กลางกลด ท่ามกลางป่ารกที่เต็มไปด้วยอสรพิษร้ายท่ามกลางความไม่เข้าใจของใครๆ แม้แต่บิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าของตัวเอง การบิณฑบาตวันแรกจึงได้ข้าวสวยเพียงสามช้อน ไม่ได้กับข้าว เพราะทำในสิ่งที่ใครๆไม่อาจเข้าใจได้สำหรับยุคสมัยเมื่อยี่สิบปีก่อน
เป็นการตัดสินใจเดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้ว่าข้างหน้าจะได้พบพานกับสิ่งใด จะมีใครบ้างที่เข้าใจหรือจะมีใครมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองมุ่งมั่นกระทำนั้นบ้าง ก้าวเดินไปอย่างไร้เดียงสา โดยไม่รู้ว่าข้างหน้านั้นจะเป็นความล้มเหลวอย่างที่สุดในชีวิตหรือความสำเร็จกันแน่
หากไม่ยอมอดทนและหนักแน่นต่อความรู้สึกคลางแคลง ความเข้าใจผิดในบางอย่าง หรือความไม่เข้าใจของผู้คนในวันนั้น ก็คงไม่มี”เกพลิตาโพธิวิหาร”ในวันนี้ เราท่านทั้งหลายก็คงไม่มีโอกาสได้พบและรู้จักกัน คงไม่มีโอกาสมานั่งพิมพ์หนังสือภายใต้แมกไม้และเสียงนกกา คอยให้ข้อคิดและกำลังใจแก่ผู้คนเช่นนี้
ดังนั้น หากใครก็ตามที่ปรารถนาจะสร้างสรรค์สิ่งดีงามเพื่อเป็นประโยชน์ต่อโลก สิ่งนั้นไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่หรือทำให้ใครมารู้จัก หากสิ่งที่เราอยากสร้างสรรค์และกระทำบำเพ็ญขึ้นมานั้น ไม่ได้เบียดเบียนหรือเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ ขอให้ดำรงจิตอันเป็นกุศลนั้นให้หนักแน่นมั่นคงไว้ แล้วค่อยๆก้าวไปทีละก้าวตามเจตจำนงอย่างไม่ไหวหวั่นเถิด
แม้ว่าในระหว่างที่กำลังก้าวไปนั้น จะพบหลุมบ่อ ขวากหนาม หรือพลาดล้มลงบ้าง อันจะทำให้ช้าไปบ้าง ก็ไม่เป็นไร เมื่อลุกขึ้นได้ ก็จงก้าวต่อไป ในที่สุดจุดหมายก็จะเคลื่อนเข้ามาใกล้ชีวิตของเราเอง
ในขณะที่ก้าวเดินไป จงยอมให้ผู้คนไม่เข้าใจบ้าง ยอมให้ผู้คนเข้าใจผิดบ้าง บางครั้งก็ต้องยอมให้คนดูถูก ดูหมิ่นบ้าง เมื่อถึงเวลาที่ผลไม้สุกงอม ทุกคนจะเข้าใจไปเอง
คุรุอตีศะ
๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๘