เมตตาสำคัญกว่า

เมตตาสำคัญกว่า

 

 

 

                     จากกรณีที่พยาบาลผู้หนึ่งแห่งโรงพยาบาลบัวใหญ่  จังหวัดนครราชสีมา  ขณะเข้าเวรได้มีผู้ประสบอุบัติเหตุรถยนต์กระบะตกข้างทางได้รับบาดเจ็บ ๓ คนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล คือแม่ของเด็กพร้อมกับลูกอีกสองคน  คนหนึ่งเป็นเด็กชายอายุ ๔ ขวบ อีกคนเป็นเด็กชายอายุ ๔ เดือน  ส่วนพ่อของเด็กเสียชีวิตอยู่ในที่เกิดเหตุ


                    พยาบาลผู้นี้เป็นพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ  มีอายุ ๓๐ ปี  กำลังเป็นแม่ลูกอ่อนของบุตรชายอายุ ๖ เดือน  เมื่อพบว่าแม่ของเด็กมีอาการบาดเจ็บ  ไม่สามารถลุกขึ้นมานั่งให้นมลูกชายวัย ๔ เดือนได้  ทำให้เด็กร้องไห้ไม่ยอมหยุด เนื่องจากหิวนม และเด็กไม่ยอมกินนมจากขวดนมที่พยาบาลจัดหามาให้  ทำให้พยาบาลท่านนี้เกิดความสงสารเด็กจับใจ


                    ในฐานะที่ตนก็เป็นแม่คนหนึ่ง เธอจึงได้ขออนุญาตแม่ของเด็กให้เด็กได้ดื่มนมของเธอแทน  ซึ่งแม่ของเด็กก็ยินยอมด้วยความเต็มใจยิ่งนัก  ตลอดระยะเวลาที่แม่ของเด็กป่วยนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล  เธอผู้นี้จะคอยให้นมเด็กตลอดเวลาที่เด็กร้องไห้หิวนม


                    การกระทำด้วยความมีเมตตาต่อครอบครัวที่กำลังประสบเคราะห์กรรมสูญเสียสามี และความมีน้ำใจงามสมกับที่อาชีพและชุดขาวบริสุทธิ์ที่เธอสวมใส่  ทำให้เป็นที่ชื่นชมของบุคคลโดยทั่วไป  เป็นสิ่งที่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างและควรสรรเสริญไปในวงกว้าง  ในฐานะที่เธอคือผู้หนึ่งได้แสดงออกซึ่งความรักความเมตตาอย่างแท้จริง  นับเป็นการปฏิบัติธรรมในชีวิตจริงอันหาได้ยากยิ่งในสังคมปัจจุบัน


                    ขอให้เธอจงมั่นใจในสิ่งที่ตนกระทำอย่าหวั่นไหวต่อสิ่งใด  แม้ว่าในท่ามกลางเสียงชื่นชมนั้นจะมีเสียงในทำนองติติงจากผู้ที่เป็นถึงศาสตราจารย์ทางการแพทย์ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ไปบ้าง  ก็เป็นธรรมดาที่โลกใบนี้คำนินทาย่อมเป็นของมาคู่กันกับคำสรรเสริญ อย่าได้ไหวหวั่น


                    อะไรเล่าจะยิ่งใหญ่กว่า “คุณธรรมแห่งความเป็นแม่” ที่เธอได้แสดงออกมาให้ปรากฏด้วยความเมตตาอันบริสุทธิ์ใจ  จะมีสตรีสักกี่คนเล่าจะกล้าเสียสละน้ำนมในอกของตัวเองให้แก่ลูกของคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกของตัว   นี้คือจิตวิญญาณแห่งความเป็นแม่ที่หาได้ยาก


                      ในฐานะที่เป็นบุตรชายคนโตที่ได้ดื่มน้ำนมจากอกของแม่คนหนึ่ง ตั้งแต่แม่มีอายุยังไม่ถึง ๒๐ ปี  อยากใช้โอกาสนี้ส่งสารมายังผู้มีเพศแม่ทั้งหลาย  ว่าไม่มีอะไรที่ทรงคุณค่าให้ความอบอุ่นและเป็นภูมิต้านทานของชีวิตของลูกเท่ากับอ้อมอกของแม่  เลือดในอกที่กลั่นออกมาเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกินนั้น  ได้ทำให้ลูกทุกคนเติบโตทางร่างกายพร้อมด้วยจิตวิญญาณ และยังเก็บพลังแห่งความรักความเมตตาที่ได้รับจากน้ำนมและอ้อมอกของแม่นั้น กลายเป็นพลังสร้างสรรค์ต่อโลกใบนี้และมีน้ำใจต่อผู้อื่นได้อย่างกว้างขวางต่อไป


                      อยากฝากสารฉบับนี้ไปยังท่านศาสตราจารย์ท่านนั้นว่า ในสถานการณ์ที่พยาบาลบ้านนอกที่ต้องอยู่กับชีวิตจริงของชาวบ้านกำลังเผชิญในภาวะคับขันเช่นนั้น  ย่อมเป็นสถานการณ์ที่ต้องการ “ความมีมนุษยธรรม” มากกว่าความเป็นนักวิจัยหรือวิชาการของภาควิชากุมารเวชศาสตร์มากนัก


                      คนบ้านนอกเวลาไปตลาดหรือไปธุระไกลๆ เขาก็ฝากลูกให้ดื่มนมคนข้างบ้านเช่นนี้ ซึ่งได้เห็นมาตั้งแต่เด็กจนชินตา ก็เห็นเด็กเหล่านั้นโตขึ้นมาแข็งแรงกันทุกคน  มีแต่คนรวยเท่านั้นที่อะไรก็กลัวเชื้อโรคแต่ก็มักป่วยมากกว่าคนจน  และโดยหลักของอาชีพพยาบาลแล้วเธอก็ย่อมดูแลความสะอาดร่างกายสูงกว่าชาวบ้านอยู่แล้ว  และเธอก็กำลังเป็นแม่ลูกอ่อนที่ให้นมบุตรชายวัย ๖ เดือนอยู่ทุกวัน  หากไปคำนึงแต่หลักวิชาการ ไฉนเลยผู้คนจะมีน้ำใจให้แก่กัน


                     ดังนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้จึงควรหลีกเลี่ยงการเอาวิชากุมารเวชศาสตร์อันเป็นความรู้เฉพาะทาง มาใช้กับผู้ที่มีจิตใจเต็มเปี่ยมด้วยมนุษยธรรม  ซึ่งกำลังเผชิญสถานการณ์จริง ที่เห็นแม่ลูกอ่อนที่สามีเสียชีวิตกะทันหัน กำลังเสียขวัญไม่รู้จะทำอย่างไรกับอนาคต  และตนก็ไม่สามารถให้นมลูกวัย ๔เดือนได้เพราะกำลังบาดเจ็บ  การมีผู้สละน้ำนมจากอกให้แก่เด็กผู้ไร้เดียงสา ซึ่งกำลังหิวโหยร้องไห้หิวนมเช่นนั้น  จะหาได้ที่ไหน? และจะมีสักกี่คนทำได้เล่า?


                     การที่ท่านศาสตราจารย์ได้เผยแผ่ความรู้ที่ท่านมี ให้แก่สาธารณชนได้ทราบเป็นวิทยาทาน  ข้อนี้นับว่าเป็นความปรารถนาดีและเป็นประโยชน์มาก  แต่การที่ท่านอยากให้ “การศึกษาของไทยมีอันดับที่ดีขึ้นในอาเซียน  ให้สังคมไทยเป็นสังคมอุดมปัญญา ใช้ความคิด ความรู้ ไม่ใช้อารมณ์หรือความรู้สึก” คำพูดนี้สมัยยังเป็นฆราวาส ก็มักได้ยินพูดกันบ่อยๆในวงสังคมชั้นสูงหรือผู้มีการศึกษา  ซึ่งมักจะถือว่าตัวเองเป็นผู้สูงส่งด้วยปัญญา ซึ่งผู้เขียนก็เคยเป็น


                     ข้อนี้จะใช้ได้ผลดีสำหรับบุคคลที่อยู่ในฐานะสูงส่งหรือมีเกียรติในสังคมอยู่แล้ว  แต่สำหรับคนที่ต้องปากกัดตีนถีบ หรือสามีเสียชีวิตกะทันหัน มีลูกเล็กอีกสองคนที่จะต้องดำรงชีวิตอยู่บนโลกที่โหดร้ายนี้ต่อไป  สิ่งที่แม่ลูกสามคนต้องการนั้นไม่ใช่ “สังคมอุดมปัญญา”  แต่สิ่งที่คนในสังคมส่วนใหญ่และแม่ลูกสามคนต้องการเวลานี้ คือ “สังคมที่อุดมด้วยเมตตา”ต่างหาก


                      พยาบาลผู้นี้เธอกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง  ทันต่อเหตุการณ์และพร้อมด้วยเมตตาธรรมประจำใจอย่างเป็นไปเอง  โดยไม่มีการปรุงแต่ง  ไม่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า  แต่ด้วยคุณความดีของเธอที่ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ  จึงทำให้มีผู้นำไปเผยแพร่และก็เป็นที่ชื่นชมโดยทั่วไป  ในท่ามกลางที่สังคมแห้งผากและยากไร้ด้วยน้ำใจและเมตตาเช่นนี้  อยากให้มีคนเช่นนี้มากขึ้น


                      ต่อไปนี้สังคมจะเปลี่ยนไป  การกำหนดค่านิยม  บรรทัดฐาน หรือกฎเกณฑ์ของสังคมที่เคยถูกกำหนดหรือตีกรอบ จากส่วนกลางหรือองค์กรของสังคมที่ทรงอิทธิพลตลอดมา  จะเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ลงไป  ผู้คนจะเริ่มพึ่งตนเองและมีค่านิยมที่เป็นของตนเอง  สถาบันที่เคยกำหนดชะตากรรมของผู้คนในสังคมจะเสื่อมถอย  พูดตามภาษาโหราศาสตร์สากล เรียกว่า “โลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่จักรราศี ยุคที่ ๘ “ ผู้คนจะเรียกร้องหาความจริงและเมตตาธรรมยิ่งกว่าสิ่งใด


                     ขออวยพรแก่พยาบาลผู้มีน้ำใจงามท่านนั้น ขอให้บุตรชายของเธอเป็นเด็กมีบุญ  เป็นคนมีสติปัญญาและมีเมตตาธรรม  เมื่อโตขึ้นขอให้เขาสอบได้เป็นนายแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่  ได้เป็นศาสตราจารย์และเป็นคณบดีแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำ จนสามารถนำพาการปฏิวัติวงการแพทย์ให้กลับสู่อุดมการณ์แห่งความเป็นแพทย์ดั้งเดิม คือ “ความมีเมตตาธรรม” สมตามที่พระบิดาแห่งวงการแพทย์ไทยแผนปัจจุบัน ท่านได้บากบั่นอุทิศพระองค์เพื่อสถาปนาการแพทย์แผนใหม่ให้เป็นที่ยอมรับของคนไทย จนกระทั่งเสียชีวิตหรือสิ้นพระชนม์ด้วยวัยเพียง ๓๗ พรรษาเท่านั้น


                       มีคนจำนวนน้อยนักที่ปรารถนาความรู้แจ้งสัจธรรมหรือต้องการปัญญา ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกใบนี้ต้องการความรักความเมตตา ดำรงอยู่มาได้ด้วยเมตตาธรรม พระพุทธองค์จึงทรงตรัสย้ำต่อเราทั้งหลายว่า “โลโกปัตถัมภิกา เมตตา    เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก”


                       ดังนั้น  สิ่งใดที่กระทำลงไปด้วยความบริสุทธิ์ใจและทำด้วยเมตตา  ความเมตตาที่มีอยู่ประจำในดวงจิตของผู้นั้น  จะมีอานุภาพมาก  แม้จะมีผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่  มีความฉลาดมีปัญญา  มีความเก่งกล้ามากเพียงใดมาคิดมุ่งร้าย  สุดท้ายก็จะแพ้พ่ายต่อผู้มีเมตตาธรรมเสมอ


                      เมตตาจึงคือเครื่องรางและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันแท้จริง  พระอริยเจ้าบางรูปบางองค์ที่ท่านไม่มีโอกาสแสดงธรรมเพราะเหตุปัจจัยบางอย่าง  ท่านจึงมักใช้พลังความศักดิ์สิทธิ์คือความเมตตานี้อธิษฐานจิตลงในวัตถุบางอย่าง เพื่ออนุเคราะห์ผู้คนที่มีศรัทธาได้มีที่พึ่งทางใจ


                     แม้บุคคลนั้นจะยังไม่เกิดปัญญา  แต่ก็ยังมีศรัทธาเป็นเข็มทิศนำทางชีวิตไปก่อน  เมื่อถึงเวลาหนึ่งเมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม  เขาก็อาจได้พบพระอริยเจ้าองค์อื่นช่วยโปรดให้เขาเกิดปัญญา รู้แจ้งในสัจธรรมต่อไป   เมตตาและปัญญาจึงต้องมีอยู่คู่กัน ด้วยประการฉะนี้แลฯ

 

                                                                          คุรุอตีศะ
                                                                 ๕  มิถุนายน  ๒๕๕๘