ยอมรับตัวเอง

ยอมรับตัวเอง

 

 

 

                 ปัญหาชีวิตอันมากมาย  เกิดจากการที่เราไม่ยอมรับตัวเอง  เราอยากเป็นเช่นพระอรหันต์  อยากเป็นพระโสดาบัน  จะได้ปิดอบายภูมิได้เด็ดขาดอย่างที่ท่านว่า  เราอยากเป็นเช่นมหาเศรษฐีทั้งหลายที่ทรงอิทธิพลทั่วหล้า  อยากเป็นวีรบุรุษที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ฯลฯ


                 การอบรม การศึกษา  วัฒนธรรม  ล้วนบอกเราตลอดมาตั้งแต่แรกเริ่มว่าเราต้องทำอย่างนั้น  เราต้องเป็นเช่นคนโน้น  ไม่มีใครเคยบอกเราว่า “เราดีงามอย่างที่เรากำลังเป็นอยู่”


                 มีแต่คนบอกว่า “เราเกิดมามีบาปติดตัวต้องไถ่บาป หรือบอกว่าเกิดมาชาตินี้เพื่อชดใช้กรรม” ไม่มีใครบอกเราว่า “เราคือมนุษย์ผู้โชคดีคนหนึ่งที่เกิดมาบนโลกใบนี้”


                 เพราะเราฝังใจและดูถูกตัวเองตลอดมาว่า “เราคือคนบาป เกิดมาต้องชดใช้กรรม”  เราก็เลยไม่อยากทำความดีอะไร  เพราะถึงจะทำความดีมากแค่ไหน  ก็จะได้รับผลเพียงแค่ “ได้ชดใช้กรรมหรือได้ไถ่บาป”เท่านั้น  แล้วชีวิตจะมีค่าอะไร  สู้อยู่ไปวันๆดีกว่า


                  จงเปลี่ยนความคิดและทัศนคติใหม่  บอกกับตัวเองว่า “เราคือคนมีบุญ  เราจึงได้เกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้”  เรามิได้เกิดมาใช้กรรม  แต่เราเกิดมาเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีงามและเกิดมาเพื่อทำความดี  ชาตินี้เราเกิดมาสุดแสนโชคดีที่ได้พบพระธรรมและได้รู้จักเส้นทางอันประเสริฐที่ทำให้หัวใจดวงนี้พบกับอิสรภาพภายใน  เราเกิดมาเพื่อพบความสว่างไสวของชีวิต


                     การยอมรับตัวเอง คือจุดเริ่มต้นของการยอมรับสิ่งทั้งปวง เป็นแสงทองแห่งความสุขในชีวิตที่จะเริมต้นตั้งแต่วันนี้  หากเราปฏิเสธตัวเอง  เราก็กำลังปฏิเสธโลกใบนี้ กำลังปฏิเสธจักรวาลที่กำลังเป็นไปอยู่   การยอมรับคือความพร้อมที่จะรับพรที่ชีวิตมอบให้


                      สิ่งต่างๆที่อยู่รอบข้างเราทั้งมวล คือของขวัญที่จักรวาลและโลกใบนี้มอบให้  เราควรน้อมรับเอาสิ่งเหล่านั้นที่ได้เข้ามาสู่ชีวิตของเรา  โดยไม่ปฏิเสธผลักต้านต่อสิ่งใด  ความกดดันและความท้อแท้ในชีวิตจะเริ่มเบาบางและผ่อนคลาย  เพราะการยอมรับตัวเองและสรรพสิ่ง   จงระลึกว่า  เราคือสิ่งมีค่าสิ่งหนึ่งที่ธรรมชาติให้กำเนิดมาบนโลกใบนี้  เช่นเดียวกับสิ่งมีค่าอื่นๆ


                      เราอาจเป็นคนหนึ่งที่สุขภาพไม่ดีหรือมักป่วยไข้  จงยอมรับในสิ่งที่ชีวิตมอบให้แล้วขอบคุณที่ต่อไปนี้เราจะมีชีวิตที่ไม่ประมาทและหมั่นทำบุญมากขึ้น


                       เรามีสามีที่ขี้เหล้าหรือเจ้าชู้มักนำมาแต่ความเจ็บช้ำน้ำใจ  เราก็ยอมรับความจริงในสิ่งที่ชีวิตนี้ได้มอบให้   เราจะได้ฝึกฝนจิตใจให้มีความอดทนอดกลั้นและมีความเจียมตัวไม่กล้าดูหมิ่นคนอื่น  มีโอกาสที่จะรักษาศีล ไปทำบุญ บำเพ็ญภาวนา  เป็นผู้มีวาสนาที่มีโอกาสได้เห็นทุกข์โทษของการครองเรือนที่เห็นได้โดยยาก ทำให้ใจน้อมไปในเส้นทางหลุดพ้น


                       เราต้องมีภาระตั้งแต่อายุยังน้อยไม่มีโอกาสเรียนหนังสือเพื่อได้รับวุฒิการศึกษาเหมือนเพื่อนฝูงหรือคนอื่น  เราก็ยอมรับตัวเองในสิ่งที่ชีวิตนี้ได้มอบให้  โดยไม่เสียใจแม้แต่น้อย เราอาจไม่มีปริญญาบัตร  แต่เราก็ได้รับปริญญาใจ  ที่ได้รับเกียรติ  ได้รับความรักความเข้าใจ ที่ทำให้เรามีกำลังใจและเกิดพลังสร้างสรรค์  จนมีความสุขอยู่ภายในและกลายเป็นที่พึ่งของผู้คน


                       เราจะไม่ยอมติดกับดักทางความคิด ที่จะต้องพยายามเป็นเหมือนใครอีกต่อไปแล้ว   เราจะพอใจกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ในวันนี้และพอใจในสิ่งที่ชีวิตได้มอบให้


                      เราไม่ต้อง “พยายามปรับปรุงตัวเอง”เพื่อจะให้เหมือนใคร  เมื่อเราไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ในใจ “ควรจะเป็น”  สมาธิภาวนาก็เกิดขึ้นมาเองอย่างธรรมชาติ หัวใจจะเริ่มสัมผัสกับความผ่อนคลาย  ชีวิตนี้จะเริ่มมีความหมาย  ความท้อแท้จะสูญสลายไป  ชีวิตใหม่จะตามมา


                       ระลึกถึงพระบรมศาสดาในวันที่พระองค์ทรงตรัสรู้  พระองค์ทรงเปล่งปฐมพุทธสุภาษิตตามลำพังพระองค์ขึ้นมาว่า “เมื่อเราไม่บรรลุและพบพระโพธิญาณ  ต้องท่องเที่ยวเกิดชาติแล้วชาติเล่าเป็นอเนกชาติ  จึงประสบแต่ความทุกข์ร่ำไปไม่สิ้นสุด  นี่แน่ะ! เจ้าตัณหาคือความทะยานอยากผู้คอยสร้างภพชาติตลอดมาเอ๋ย!    บัดนี้เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว  โครงเรือนและยอดหลังคาเราได้รื้อทำลายทิ้งเสียแล้ว  เจ้าจะสร้างเรือนไม่ได้อีกต่อไป  จิตของเราได้ถึงแล้วซึ่งสภาพที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีก  สิ้นแล้วซึ่งความปรารถนาทั้งปวงและพบแล้วซึ่งพระนิพพาน”


                        วันวิสาขบูชา คือวันที่พระองค์ทรงประสูติ  ตรัสรู้  และปรินิพพาน   ตรงกันอย่างไม่น่าเชื่อ มีเพียงแค่บุคคลเดียวในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติและของโลกที่มีวันเกิด  วันรู้แจ้งสัจธรรม  และวันตาย  ตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ เหมือนกันทั้งสามวันเช่นนี้


                        สิ่งหนึ่งที่พระองค์ผู้ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลก  เที่ยวเสด็จจาริกแสดงธรรมนับแต่วันที่ทรงตรัสรู้มานับแต่มีชนมายุ ๓๕ พรรษา นับเป็นเวลาได้ถึง ๔๕ ปี   หากจะพูดให้เข้าใจได้อย่างง่ายๆในสิ่งที่ทรงแสดงแก่คนสมัยนี้  สิ่งนั้นก็คือ “การยอมรับตัวเอง”


                         เมื่อยอมรับตัวเอง  ความทะยานอยากและความดิ้นรนในใจทั้งปวงในขณะนั้นจะสิ้นสุดลง  ความว้าวุ่นใจหรือสภาวะที่ตึงเครียดก็จะหมดไป  นั่นคือเริ่มต้นแห่งสมาธิภาวนา


                          จงยอมรับในสิ่งที่ชีวิตมอบให้  แม้แรกๆอาจจะต้องฝืนใจเพราะเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน  แต่เมื่อการยอมรับนี้มีอยู่บ่อยๆจนกลายเป็นนิสัย  จะเกิดความประหลาดใจว่าชีวิตพร้อมจะโปรยปรายสิริมงคลและพรที่ดีงามมาให้อยู่เสมอ  เมื่อเริ่มรู้จักยอมรับตัวเอง


                           เรามิใช่คนบาปมาตั้งแต่เกิด  เรามิได้เกิดมาใช้กรรม  แต่เราคือคนโชคดีที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้  เราคือคนมีคุณค่า เราเกิดมาเพื่อใช้พลังสร้างสรรค์ที่มีอยู่ด้วยความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน


                            ต้นไม้ดูเขียวขจี  ดวงดาวในค่ำคืนนี้ก็ดูสวยงาม  สายน้ำที่กำลังไหลไปก็คือรางวัลอันงดงามที่ชีวิตมอบให้  แต่สิ่งหนึ่งที่งดงามเหนือกว่าใคร  สิ่งนั้นก็คือการมีสติอยู่กับขณะนี้  พร้อมกับการรู้จักยอมรับตัวเอง

 

                                                                             คุรุอตีศะ
                                                                   ๑๙  พฤษภาคม  ๒๕๕๘