ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย

ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย

 

 

 

                  หลวงพ่อคูณ  ปริสุทฺโธ  เทพเจ้าแห่งวัดบ้านไร่  ต.กุดพิมาน  อ.ด่านขุนทด  จ.นครราชสีมา  ได้ละสังขารจากศิษยานุศิษย์ทั้งหลายไปแล้วในวัยอายุได้ ๙๑ ปี  ดำรงสมณเพศได้อย่างหมดจดบริสุทธิ์มาตั้งแต่วัยหนุ่มอายุครบบวชตามประเพณีของไทยแต่โบราณ  มีอายุกาลพรรษาในสมณเพศได้  ๗๑  พรรษา  อันจะหาไม่ได้อีกแล้วที่จะมีใครเป็นได้เหมือนท่านเช่นนี้


                หลวงพ่อคูณนั้น แก่นแท้ข้างในท่านเป็นนักปราชญ์ผู้ทรงภูมิปัญญาอย่างยิ่ง  แต่ด้วยดวงจิตและปณิธานที่จะอนุเคราะห์ผู้คนที่เต็มไปด้วยความยากไร้ สมัยตั้งแต่ท่านยังเป็นพระหนุ่มขณะจาริกธุดงค์แล้วเกิดความเมตตาสงสารอยากช่วยเหลือผู้คน   ท่านจึงไม่ได้แสดงตนเป็นพระกรรมฐานผู้เคร่งครัดหรือน่าเลื่อมใส

 

                ผู้คนทั้งหลายทั่วไปจึงมักรู้จักหรือศรัทธาเลื่อมใสท่านแต่ในนามของ “เกจิอาจารย์ ผู้ทรงวิทยาคม”เสียเป็นส่วนใหญ่  โดยมองข้ามหรือไม่ให้ความสำคัญต่อความเป็นปราชญ์ผู้ทรงภูมิปัญญา หรือคำสอนอันเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งกินใจยิ่งนักของท่าน อันยากจะหาใครเทียบเท่าในยุคนี้


                    คำสอนของหลวงพ่อคูณที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งมาก เช่น “ยิ่งเอามันยิ่งอด  ยิ่งสละให้หมด มันยิ่งได้”  นี้คือการสอนให้รู้จักทานบารมีอย่างเยี่ยมยอด  ผู้ที่ดวงจิตไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องจนอยู่เหนือวัตถุทรัพย์สินเงินทอง  จะไม่อาจสอนหรือยืนยันคำพูดอย่างอาจหาญเช่นนี้ได้  เพราะเป็นคำสอนที่สวนกระแสกับความต้องการหรือความเข้าใจของปุถุชนโดยตรง  ยากนักที่จะมีใครเข้าใจและเชื่อว่า "ยิ่งสละให้หมด มันยิ่งได้” นี้คือรวมยอดคำสอนที่กลั่นออกจากใจของผู้ที่เข้าถึงธรรม  และนี่คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดหลวงพ่อคูณจึงมีลาภสักการะมากตลอดชีวิตของท่าน


                   “กูให้พวกมึงรู้จักเพียงพอ” นี้คือคำสอนสำหรับคนรวย คนที่ต้องการอำนาจวาสนา ตำแหน่ง หรือยศศักดิ์  ให้รู้จักเพียงพอเสียบ้าง ใจจะได้สงบร่มเย็น  เมื่อคนรวยหรือคนมีอำนาจวาสนารู้จักเพียงพอ  ชาวบ้านหรือคนยากจนที่ด้อยโอกาสซึ่งมีจำนวนมากกว่าในทุกสังคม  ก็จะสามารถลืมตาอ้าปากได้ และชีวิตความเป็นอยู่ของเขาก็จะมีความพอเพียง บ้านเมืองก็สงบสุข


                    “กูทำดี  เขาจึงให้ของดีกูมา  กูไม่เคยยินดียินร้ายในลาภยศสรรเสริญ  เงินเป็นทาสกู  กูไม่ยอมเป็นทาสเงิน” นี้คือคำพูดของพระภิกษุผู้เป็นสงฆ์สาวกแท้ที่บันลือสีหนาท  ประกาศผลของการปฏิบัติธรรม แก่ผู้ที่ดูหมิ่นลบหลู่ท่านด้วยถ้อยคำต่างๆด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

 
                     เป็นการประกาศว่าที่ท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ และปลุกเสกเครื่องรางของขลังนั้น  ไม่ใช่ท่านอยากทำเพื่อความเด่นดังหรือหลอกลวงโดยที่ตนไม่มีความวิเศษใดๆ  แต่ท่านทำดีคือฝึกฝนตนเองมาก่อน ท่านจึงทำของท่านได้  วัตถุที่ท่านอธิษฐานจิตจึงศักดิ์สิทธิ์ดังที่เห็น


                     คนอื่นที่ไม่มีความสามารถหรือมีบุญบารมีเหมือนอย่างท่าน ในการที่จะใช้อิทธิปาฏิหาริย์เพื่อสร้างศรัทธาหรือสงเคราะห์ผู้คนได้แบบนั้น  ก็อย่ามาว่ากัน  เพราะท่านทำไปด้วยการสงเคราะห์  ไม่ได้ต้องการลาภหรือชื่อเสียง “กูไม่เคยยินดียินร้ายในลาภยศสรรเสริญ”


                     และที่มีคนเอาเงินมาถวายท่านมากมายนั้น  ท่านก็ไม่ได้ติดในเงินทองเหล่านั้นเหมือนพระภิกษุทั้งหลายหรือผู้คนทั่วไปที่ไม่ว่าใครก็ต้องการเงิน แต่สำหรับหลวงพ่อคูณ “เงินเป็นทาสกู กูไม่ได้เป็นทาสเงิน” (เหมือนพวกมึงก็แล้วกัน  ให้รู้กันไว้ซะด้วย – ผู้เขียนเติมเอง)


                     “กูดีใจที่เกิดมาเป็นคนจน  เพราะได้สร้างสั่งสมบุญ สร้างทานบารมี  ถ้ากูเกิดมาเป็นคนรวย ป่านนี้ คำว่าบุญก็คงไม่รู้จัก” ด้วยเหตุนี้พระโพธิสัตว์หรือพระอริยเจ้าส่วนใหญ่จึงเลือกลงมาเกิดในตระกูลที่ต่ำต้อยหรือยากจน  เพราะมีโอกาสที่จะสละทางโลกออกบวชได้ง่าย และมีโอกาสได้ทนทุกข์ยากพบกับความลำบาก  ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะสร้างบารมีและช่วยเหลือผู้คน  จะยกเว้นก็แต่พระพุทธเจ้าที่จะต้องมาตรัสรู้ในพระชาติสุดท้ายเพื่อตั้งศาสนา


                     ส่วนคนที่เกิดมาสบายและร่ำรวยนั้น  มักจะมีโอกาสเพลิดเพลินลุ่มหลงเสียเวลาและมักทนต่อความลำบากไม่ค่อยได้  มักจะสนใจแต่เรื่องของตัวเองหรือความสุขของตัวเองเป็นใหญ่ จนกว่าชีวิตจะตกต่ำลงมาหรือพบกับความทุกข์แสนสาหัสอย่างใดอย่างหนึ่ง  จึงจะเริ่มสำนึกหรือคิดได้  หลังจากนั้นจึงจะเริ่มต้นสร้างบุญบารมีหรือสละเพศออกบวชได้ต่อไป


                    หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เทพเจ้าแห่งวัดบ้านไร่ เป็นที่รู้จักของเราท่านทั้งหลายในฐานะที่ท่านมีวิทยาคมหรือมีอิทธิปาฏิหาริย์   ท่านได้ใช้วิทยาคมและบุญบารมีส่วนตัวของท่านช่วยเหลือผู้คนมาเป็นเวลาอันยาวนาน  ได้ทำหน้าที่พุทธสาวกหน่อเนื้อพระชินวร  ทำหน้าที่สืบอายุพระศาสนาในยุคสมัยที่ผู้คนส่วนใหญ่อ่อนด้วยศรัทธาให้มีความเลื่อมใสศรัทธาได้อย่างดียิ่ง

 
                     การแสดงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ อันได้แก่การแสดงธรรมหรือการเผยแผ่พระธรรมนั้น  ย่อมเป็นธรรมดาที่ผู้คนจะสนใจน้อยเพราะผู้คนส่วนใหญ่ในโลกไม่ได้ต้องการปัญญา


                    แต่อิทธิปาฏิหาริย์จะทำให้เขาเกิดความศรัทธาและเกิดความสนใจ มองเห็นคุณค่าของพระศาสนาได้ในอีกระดับหนึ่ง  ซึ่งดีกว่าปล่อยให้เขาอยู่อย่างไร้ที่พึ่งหรือไม่มีศรัทธาเสียเลย  ซึ่งหลวงพ่อคูณได้ทำหน้าที่ของท่านได้อย่างบริบูรณ์แล้ว สมกับดวงแก้วลอยมาจากสวรรค์ก่อนจะตั้งครรภ์ตามนิมิตฝันของมารดา   จึงสมแล้วที่ท่านเกิดมาเพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา และเมตตาอนุเคราะห์ช่วยเหลือชาวโลก


                     ในสุดท้ายบั้นปลายของชีวิต  ท่านได้ปล่อยวางอิทธิฤทธิ์และให้สัตว์โลกทั้งหลายเป็นไปตามกรรม หลังจากที่ช่วยเหลือพวกเขามาเต็มที่แล้วตามปณิธานดั้งเดิมก่อนมีวัดบ้านไร่

 
                      ปาฏิหาริย์นับตั้งแต่อายุท่านได้  ๗๗  ปี  จึงเปลี่ยนจากอิทธิปาฏิหาริย์มาเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์โดยที่เหล่าศิษย์ที่ยังหลงติดอยู่ในอิทธิฤทธิ์น้อยคนจะทันเฉลียวใจ  ท่านได้เอาชีวิตของท่านแสดงให้เห็นถึงความปล่อยวางจากการยึดติดต่อสรรพสิ่งทั้งมวล  มีแต่ “พระพุทโธเจ้าที่แท้จริง ที่รู้ ตื่น เบิกบาน อย่างไร้ความกังวลใดๆอยู่ภายใน"  ถาวรวัตถุและเงินทองลาภสักการะอันมากมาย  ลาภยศสรรเสริญใดๆไม่มีติดอยู่ในจิตของท่านอีกเลยนับแต่นั้นมา


                      และที่สำคัญที่สุดนั้น แม้ท่านจะใช้วิทยาคมในการสงเคราะห์ผู้คนและสร้างศรัทธา  แต่ท่านก็สอนทุกคนว่า อิทธิฤทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์และมีอานุภาพที่แท้จริง ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่าพลังแห่งเมตตา ดังมีคำสอนของท่านตอนหนึ่งว่า “คนเรา เมื่อมีเมตตาให้กับผู้อื่น ผู้อื่นเขาก็ให้ความเมตตาตอบสนองต่อเรา  ถ้าเราโกรธเขา เขาก็จะโกรธเราตอบเช่นกัน  ความเมตตานี่แหละคืออาวุธ ที่จะปกป้องตัวเราเอง ให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง เป็นอาวุธที่ใครๆจะนำเอาไปใช้ก็ได้ จัดว่าเป็นของดีนักแล” นี้คือการใช้อิทธิปาฏิหาริย์เพื่อน้อมนำจิตใจผู้คนให้เข้าสู่ทางธรรมต่อไป


                      ด้วยเหตุนี้ท่านจึงแสดงความเป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ยืนอยู่เหนือลาภยศสรรเสริญและยินดียินร้ายอย่างยากที่ใครจะทำได้ พินัยกรรมอันอัศจรรย์ของท่านจึงระบุไว้  “ห้ามขอพระราชทานเพลิงศพ ขอโกฏิหรือเกียรติยศใดๆ ทั้งห้ามมิให้มีการสมโภชอะไรทั้งสิ้น”


                      ชีวิตแห่งการประพฤติพรหมจรรย์มาตั้งแต่อายุ ๒๐ ปี แล้วปฏิบัติจนบรรลุธรรมได้อภิญญาจิต พร้อมทั้งยังได้ช่วยเหลือสังคมและผู้คนทุกชั้นวรรณะจนอายุ ๙๑ ปีนั้น  ย่อมเป็นสิ่งยิ่งกว่าเกียรติยศที่ชาวโลกจะมอบให้หรือยังต่ำเกินไปสำหรับผู้มีดวงจิตยืนอยู่เหนือโลก


                      เพราะเกียรติยศที่ประเสริฐสูงส่งและยิ่งใหญ่ที่สุดอันแท้จริงนั้น  ท่านมีมาก่อนแล้วตั้งแต่ออกจากป่า หรือได้รับแล้วตั้งแต่ท่านยังเป็นพระหนุ่มและเป็นพุทธสาวกที่แท้จริง ที่ได้บรรลุธรรมพร้อมทั้งอภิญญาจิต ก่อนจะกลับคืนมาสู่มาตุภูมิเพื่ออนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้คน จนลมหายใจสุดท้ายและได้ละทิ้งสังขารไปอย่างงดงาม


                      ปาฏิหาริย์อันเป็นการแสดงธรรมครั้งสุดท้าย ที่หลวงพ่อคูณได้แสดงและทิ้งไว้ให้ คือการไม่มีอะไรในโลกนี้ที่น่ายึดติด  แม้จะทรงอิทธิฤทธิ์สักเพียงไหน  สุดท้ายก็ต้องปล่อยวางทุกสิ่งกลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติตามเดิม


                       ปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่และเป็นครั้งสุดท้าย  หลวงพ่อคูณผู้บริสุทธิ์ประเสริฐ ผู้เต็มเปี่ยมด้วยเมตตา  ได้ฝากไว้กับเราทั้งหลายว่า “สรรพสิ่งทั้งหลายบรรดามีในโลกนี้  ไม่มีสิ่งใดเป็นของเรา  ไม่มีอะไรที่ยึดมั่นได้  สุดท้ายแล้วทุกคนทุกชีวิต ล้วนต้องปล่อยวางสรรพสิ่งทั้งมวล”

 

                                                                           คุรุอตีศะ
                                                                 ๑๗  พฤษภาคม  ๒๕๕๘