รักที่สร้างสรรค์
- รายละเอียด
- หมวด: คติธรรม/ปรารภธรรม
รักที่สร้างสรรค์
การเดินไปบนวิถีแห่งความรัก จะพบกับขวากหนามอุปสรรคหรือว่าพบกับถนนลาดยางที่เป็นทางลัด ก็อยู่ที่คุณภาพของจิตใจและความประพฤติอันดีงามมาก่อนที่หญิงหรือชายคู่นั้นจะตัดสินใจเดินทางร่วมกัน ซึ่งนับเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ
เมื่อตัดสินใจร่วมชะตากรรมกันแล้ว จิตใจก็ไม่วอกแวกไปในทางอื่นหรือลังเลสงสัย ความรักนั้นก็จะเป็นความรักที่สร้างสรรค์ เขาและเธอจะชนะต่ออุปสรรคขวากหนามทั้งปวง
เส้นทางแห่งความรัก ย่อมถือว่าเป็นของขวัญหรือความโชคดีของผู้ที่มีศีลหรือประพฤติตนดีงามอยู่ในครรลองมาก่อน เพราะพลังแห่งสติและความอดทน ความเป็นสุภาพบุรุษ ความมีสติในการครองตนอยู่ในความเป็นกุลสตรี การรู้จักยับยั้งชั่งใจที่ได้รับการบ่มหรือฝึกฝนมานาน เมื่อได้พบและสัมผัสกับความรัก พลังทางเพศที่ซ่อนอยู่ภายในกับพลังสติที่อดทนครองตนอยู่ในวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามมานาน จะได้สัดส่วนที่สมดุลกัน ทำให้ความรักนั้นมีโอกาสพัฒนาขึ้นไปในทางที่สูงส่งขึ้น เขาและเธอจะไม่พากันตกต่ำหรือหมกจมมัวเมาอยู่กับกามารมณ์เหมือนคนทั่วไป จะเป็นต้นลำธารแห่งความรักที่จะเป็นพลังสร้างสรรค์ต่อ
แต่ในขณะเดียวกัน เส้นทางแห่งความรักก็มีอันตราย สำหรับผู้มีสติปัญญายังไม่ได้รับการฝึกฝนพัฒนามาอย่างเพียงพอ เป็นเส้นทางแห่งอันตรายสำหรับผู้ที่ตีความหมายเข้าข้างตัวเองหรือหลงเข้าใจผิดเพราะความรู้ความเข้าใจที่ครึ่งๆกลางๆยังไม่เป็นองค์รวม
ด้วยเหตุนี้แหละที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายรุ่นเก่า ท่านจึงหลีกเลี่ยงหรือไม่สอนธรรมะที่พูดถึง “ความรัก” เพราะปุถุชนคนทั้งหลายจะถือโอกาสทำตามกิเลสของตนโดยขาดการพัฒนาสติให้ได้ระดับเสียก่อน เรียกว่าเอาคำสอนไปใช้ในทางที่เข้าข้างตัวเองในทางที่ผิดได้
คนที่ตีความหมายธรรมะผิดหรือปฏิบัติผิดในเรื่องความรัก จะสังเกตได้จากเขาจะพากันหมกมุ่นหันเหไปในทางโลก จะเริ่มหันหลังให้กับธรรมะ จะคิดแต่เรื่องทำมาหากินหรือความสุขของตัวเองเป็นใหญ่ ชีวิตการครองตัวหรือจิตใจ จะห่างไกลจากพระรัตนตรัยไปทุกที หากเป็นเช่นนี้ ก็พึงวินิจฉัยได้ว่า บุคคลนั้นตีความหมายเรื่องความรักที่ท่านสอนไม่ถูกต้อง
แต่ด้วยเหตุที่ผู้คนในสมัยนี้ มีแนวทางการใช้ชีวิตต่างจากสมัยก่อน หนุ่มสาวสมัยนี้สามารถคบหากันได้อย่างอิสระไม่ต้องสนใจพ่อแม่ ไม่ต้องสนใจวัฒนธรรมประเพณี เป็นยุคสมัยที่ยากนักจะมีใครกล้าสอนกล้าอบรมโดยถือว่าเป็นเรื่องของร่างกายและจิตใจของเขา
การมีอิสระในทางเพศโดยไม่มีสิ่งใดช่วยฉุดรั้งไว้ได้เหมือนยุคสมัยที่ผ่านมา จึงจำต้องกล่าวถึงความรักเพื่อสื่อความหมายบางอย่างออกไป แม้จะเสี่ยงต่อการถูกเข้าใจผิดบ้างในตอนแรกเพราะเป็นเรื่องใหม่ เพื่อจะได้มีเบรกคุณภาพชั้นดี ได้มีโอกาสพัฒนาสติปัญญาและได้พบกับความรักความอบอุ่นที่แท้จริง จะได้มีชีวิตที่สดใสในภายหน้าสมตามความปรารถนา
วิถีแห่งความรัก เป็นภูมิปัญญาแห่งบรรพกาล เป็นวิถีแห่งบุคคลผู้มีคุณภาพและมีความเคารพในตนเอง ที่จะก้าวเดินไปอย่างมั่นใจและสง่างาม แต่ในดวงใจมีความเข้าใจในตัวเอง พร้อมทั้งมีความไว้วางใจและเข้าใจผู้อื่นอยู่ด้วยเสมอ เป็นผู้มีสุขภาพจิตดี มีเมตตาอย่างไร้การปรุงแต่ง
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การสร้างขึ้นมาแต่อย่างใด แต่เป็นผลมาจากการที่ก้าวเดินไปบนวิถีแห่งความรักได้อย่างถูกต้อง ความรักที่เต็มเปี่ยมอยู่ในใจนั้น จึงเป็นพลังสร้างสรรค์ตามมา หากใช้ชีวิตทางโลก ก็จะเจริญรุ่งเรือง หากใช้ชีวิตในทางศาสนา ก็จะเป็นที่พึ่งของผู้คนได้มาก จะทำให้เป็นหลักชัยทางจิตวิญญาณของผู้คน ทำงานศาสนาอย่างมีปีติหล่อเลี้ยงใจ
ผู้ที่เดินไปบนวิถีแห่งความรักได้อย่างถูกต้อง จะเกิดความสมดุลของชีวิต หากเป็นผู้ครองเรือนก็จะบริโภคกามด้วยความมีสติและมีความเคารพต่อกันอย่างลึกซึ้ง ผู้ชายจะไม่มีการปฏิบัติต่อผู้หญิงเสมือนวัตถุสิ่งของ ผู้หญิงก็จะมอบความรักอย่างเต็มหัวใจโดยไม่ต้องคิดใช้เสน่ห์เล่ห์กลในการผูกมัดหัวใจของผู้ชายอีกต่อไป และเพราะเธอมีสิ่งที่เหนือกว่าคือความรักที่บริสุทธิ์มอบให้ ผู้ชายจึงรักเธออย่างมั่นคงยั่งยืนเพราะเขาได้อยู่กับพลังแห่งความรักแท้แล้ว
หญิงและชายผู้ปรารถนาจะมีรักอย่างสร้างสรรค์ อย่าดูหมิ่นเรื่องเพศสัมพันธ์ว่าเป็นเรื่องจะทำอย่างไรก็ได้ หากยังศึกษาเล่าเรียน จงใช้การเรียนนั่นแหละเป็นสิ่งที่ช่วยในการฝึกสติให้เข้มแข็ง คนที่ทำงานแล้วก็จงไว้ตัวอย่างมีสติจนกว่าจะตกลงปลงใจ เพียงแค่รักและคิดถึงเขา แต่อย่าเพิ่งปล่อยร่างกายไปตามใจ เหมือนคนสมัยก่อนเขาใช้วัฒนธรรมประเพณีในการควบคุมความประพฤติของหนุ่มสาวก่อนจะตัดสินใจแต่งงานมีครอบครัวต่อไป การมีความสัมพันธ์ต่อกันแบบไม่ตั้งใจหรือปล่อยตามอารมณ์เป็นที่ตั้ง จะทำให้ใจเกิดความหดหู่และขาดความเคารพตนเอง กลายเป็นปมด้อยในภายหลังได้ ท่านจึงสอนให้ยับยั้งชั่งใจในเรื่องนี้ไว้ก่อนเป็นหลัก
เมื่อตัดสินใจเป็นนักเรียนนักศึกษา เราก็ต้องเรียนจริง ยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ยอมที่จะงดการหาความสุขทางเพศไว้ก่อน อย่าไปคิดทดลองตามเขา อย่าใจร้อนด่วนได้ทำตามคนอื่นโดยที่เราก็รู้ว่าไม่ใช่ “หนทาง”ที่เราควรเดินแต่อย่างใด หากหนุ่มสาวคนใดทำได้ ชีวิตรักหรือชีวิตการแต่งงานของเราจะมีพลังสร้างสรรค์และมีความสุขกว่าคนอื่นอีกมากมาย
เหตุใดภูมิปัญญาแห่งบรรพกาล จึงมีคำสอนที่เน้นให้ชายหนุ่มทั้งหลายมีความเป็นสุภาพบุรุษ และสตรีต้องรักนวลสงวนตัวไว้ก่อนเธอรู้ไหม?
เหตุผลที่ลึกซึ้งที่อยู่เบื้องหลังก็คือ การที่ผู้ชายจะเกิดความรักที่เป็นพลังสร้างสรรค์ ต้องมีความรู้สึกยกย่องเทิดทูนสตรีที่เขารักเสมือนหนึ่งเธอเป็นเทพีผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่จะมาเป็นมิ่งขวัญและเป็นกำลังใจของเขา ผู้ชายที่เกิดความรู้สึกเช่นนี้กับสตรีที่เขารักหรือขอแต่งงานเพื่อเป็นคู่ชีวิต เขาจะสร้างเนื้อสร้างตัวได้อย่างรวดเร็ว แม้จะเคยยากจนต่ำต้อยมาก่อน
การที่ท่านสอนให้ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว ก็เพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ผู้ชายมาลดคุณค่าในตัวเธอว่าเป็นเพียงวัตถุสิ่งของอย่างหนึ่งเท่านั้น การไว้ตัวของสตรีก็คือการเป็นผู้มีสติอย่างหนึ่งในการที่จะช่วยคัดกรองผู้ชายที่ผ่านเข้ามาว่าจะต้องมีความรักแท้ต่อเธอในระดับหนึ่ง หรือมีความรักจริงเพียงใด ก่อนจะตัดสินใจครองคู่ใช้ชีวิตร่วมกัน
การพิสูจน์ว่าผู้ชายคนนั้นมีความรักแท้ต่อผู้หญิงหรือไม่ ก็คือการกล้าสู่ขอหรือกล้าแสดงความรับผิดชอบโดยต้องกล้าเผชิญหน้าต่อพ่อแม่ฝ่ายหญิง นั่นแสดงว่าเขาได้แสดง “วุฒิภาวะแห่งความเป็นลูกผู้ชาย” ผู้หญิงจึงจะมีความพร้อมที่จะมอบกายและใจ สตรีที่ทำได้เช่นนี้เธอจะมีใจคอหนักแน่นและมีสมาธิอย่างลึกซึ้ง อันเป็นผลจากการที่เธอมีรักแท้ในใจ
หากจะมีความรัก จงเดินบนเส้นทางที่สร้างสรรค์ อย่าคิดว่าเรื่องทางเพศเป็นเรื่องง่ายๆแค่เรื่องของร่างกายจะทำให้สูญเสียความมั่นใจในภายหลัง ตามภูมิปัญญาแห่งบรรพกาล เพศศึกษาที่แท้จริงนั้น ท่านหมายถึงการหลอมรวมร่างกายและจิตใจเพื่อให้ชีวิตเข้าสู่ความสมดุลต่างหาก การสมรสจึงไม่ใช่เพียงแค่พิธีแต่งงานหรือสินสอดทองหมั้น แต่คือการที่คนทั้งสองได้หลอมรวมร่างกายและชีวิตจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อเข้าสู่ภาวะสมดุลของชีวิต
ความรักที่สร้างสรรค์ จะนำไปสู่ชีวิตที่สมดุลอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการปฏิบัติธรรมในภาคของฆราวาสที่ถูกละเลยและลบเลือนไป ซึ่งคนสมัยก่อนท่านปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เด็ก บรรพบุรุษของเรานั้นท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลานได้ ก็เพราะดวงจิตของท่านดำรงอยู่ด้วยสติและปัญญา อยู่ในครรลองแห่งอริยะโดยไม่มีการโฆษณานั่นเอง
ในท่ามกลางแห่งความรักนั้นจะมีทั้งความสนิทใจ มีความไว้วางใจ ความอบอุ่นใจ มีทั้งความปลื้มปีติที่คอยหล่อเลี้ยงหัวใจ และที่สำคัญ สติจะเพิ่มพูนตามลำดับจนกลายเป็นความรักของพระโสดาบัน ความรักเช่นนี้นั้นจะเป็นสมาธิภาวนาอยู่ในตัว
คุรุอตีศะ
๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘