รักที่สร้างสรรค์

รักที่สร้างสรรค์

 

 

 

                  การเดินไปบนวิถีแห่งความรัก  จะพบกับขวากหนามอุปสรรคหรือว่าพบกับถนนลาดยางที่เป็นทางลัด  ก็อยู่ที่คุณภาพของจิตใจและความประพฤติอันดีงามมาก่อนที่หญิงหรือชายคู่นั้นจะตัดสินใจเดินทางร่วมกัน ซึ่งนับเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ


                เมื่อตัดสินใจร่วมชะตากรรมกันแล้ว  จิตใจก็ไม่วอกแวกไปในทางอื่นหรือลังเลสงสัย  ความรักนั้นก็จะเป็นความรักที่สร้างสรรค์  เขาและเธอจะชนะต่ออุปสรรคขวากหนามทั้งปวง


                 เส้นทางแห่งความรัก  ย่อมถือว่าเป็นของขวัญหรือความโชคดีของผู้ที่มีศีลหรือประพฤติตนดีงามอยู่ในครรลองมาก่อน  เพราะพลังแห่งสติและความอดทน  ความเป็นสุภาพบุรุษ ความมีสติในการครองตนอยู่ในความเป็นกุลสตรี การรู้จักยับยั้งชั่งใจที่ได้รับการบ่มหรือฝึกฝนมานาน  เมื่อได้พบและสัมผัสกับความรัก  พลังทางเพศที่ซ่อนอยู่ภายในกับพลังสติที่อดทนครองตนอยู่ในวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามมานาน  จะได้สัดส่วนที่สมดุลกัน  ทำให้ความรักนั้นมีโอกาสพัฒนาขึ้นไปในทางที่สูงส่งขึ้น  เขาและเธอจะไม่พากันตกต่ำหรือหมกจมมัวเมาอยู่กับกามารมณ์เหมือนคนทั่วไป  จะเป็นต้นลำธารแห่งความรักที่จะเป็นพลังสร้างสรรค์ต่อ


                    แต่ในขณะเดียวกัน  เส้นทางแห่งความรักก็มีอันตราย สำหรับผู้มีสติปัญญายังไม่ได้รับการฝึกฝนพัฒนามาอย่างเพียงพอ  เป็นเส้นทางแห่งอันตรายสำหรับผู้ที่ตีความหมายเข้าข้างตัวเองหรือหลงเข้าใจผิดเพราะความรู้ความเข้าใจที่ครึ่งๆกลางๆยังไม่เป็นองค์รวม


                      ด้วยเหตุนี้แหละที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายรุ่นเก่า ท่านจึงหลีกเลี่ยงหรือไม่สอนธรรมะที่พูดถึง “ความรัก” เพราะปุถุชนคนทั้งหลายจะถือโอกาสทำตามกิเลสของตนโดยขาดการพัฒนาสติให้ได้ระดับเสียก่อน  เรียกว่าเอาคำสอนไปใช้ในทางที่เข้าข้างตัวเองในทางที่ผิดได้

 
                    คนที่ตีความหมายธรรมะผิดหรือปฏิบัติผิดในเรื่องความรัก  จะสังเกตได้จากเขาจะพากันหมกมุ่นหันเหไปในทางโลก จะเริ่มหันหลังให้กับธรรมะ  จะคิดแต่เรื่องทำมาหากินหรือความสุขของตัวเองเป็นใหญ่  ชีวิตการครองตัวหรือจิตใจ  จะห่างไกลจากพระรัตนตรัยไปทุกที  หากเป็นเช่นนี้  ก็พึงวินิจฉัยได้ว่า บุคคลนั้นตีความหมายเรื่องความรักที่ท่านสอนไม่ถูกต้อง


                       แต่ด้วยเหตุที่ผู้คนในสมัยนี้  มีแนวทางการใช้ชีวิตต่างจากสมัยก่อน  หนุ่มสาวสมัยนี้สามารถคบหากันได้อย่างอิสระไม่ต้องสนใจพ่อแม่ ไม่ต้องสนใจวัฒนธรรมประเพณี  เป็นยุคสมัยที่ยากนักจะมีใครกล้าสอนกล้าอบรมโดยถือว่าเป็นเรื่องของร่างกายและจิตใจของเขา


                      การมีอิสระในทางเพศโดยไม่มีสิ่งใดช่วยฉุดรั้งไว้ได้เหมือนยุคสมัยที่ผ่านมา  จึงจำต้องกล่าวถึงความรักเพื่อสื่อความหมายบางอย่างออกไป แม้จะเสี่ยงต่อการถูกเข้าใจผิดบ้างในตอนแรกเพราะเป็นเรื่องใหม่  เพื่อจะได้มีเบรกคุณภาพชั้นดี  ได้มีโอกาสพัฒนาสติปัญญาและได้พบกับความรักความอบอุ่นที่แท้จริง  จะได้มีชีวิตที่สดใสในภายหน้าสมตามความปรารถนา


                       วิถีแห่งความรัก  เป็นภูมิปัญญาแห่งบรรพกาล  เป็นวิถีแห่งบุคคลผู้มีคุณภาพและมีความเคารพในตนเอง  ที่จะก้าวเดินไปอย่างมั่นใจและสง่างาม  แต่ในดวงใจมีความเข้าใจในตัวเอง พร้อมทั้งมีความไว้วางใจและเข้าใจผู้อื่นอยู่ด้วยเสมอ  เป็นผู้มีสุขภาพจิตดี มีเมตตาอย่างไร้การปรุงแต่ง


                        สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การสร้างขึ้นมาแต่อย่างใด  แต่เป็นผลมาจากการที่ก้าวเดินไปบนวิถีแห่งความรักได้อย่างถูกต้อง  ความรักที่เต็มเปี่ยมอยู่ในใจนั้น  จึงเป็นพลังสร้างสรรค์ตามมา  หากใช้ชีวิตทางโลก ก็จะเจริญรุ่งเรือง  หากใช้ชีวิตในทางศาสนา  ก็จะเป็นที่พึ่งของผู้คนได้มาก  จะทำให้เป็นหลักชัยทางจิตวิญญาณของผู้คน  ทำงานศาสนาอย่างมีปีติหล่อเลี้ยงใจ


                        ผู้ที่เดินไปบนวิถีแห่งความรักได้อย่างถูกต้อง  จะเกิดความสมดุลของชีวิต  หากเป็นผู้ครองเรือนก็จะบริโภคกามด้วยความมีสติและมีความเคารพต่อกันอย่างลึกซึ้ง  ผู้ชายจะไม่มีการปฏิบัติต่อผู้หญิงเสมือนวัตถุสิ่งของ  ผู้หญิงก็จะมอบความรักอย่างเต็มหัวใจโดยไม่ต้องคิดใช้เสน่ห์เล่ห์กลในการผูกมัดหัวใจของผู้ชายอีกต่อไป  และเพราะเธอมีสิ่งที่เหนือกว่าคือความรักที่บริสุทธิ์มอบให้  ผู้ชายจึงรักเธออย่างมั่นคงยั่งยืนเพราะเขาได้อยู่กับพลังแห่งความรักแท้แล้ว


                         หญิงและชายผู้ปรารถนาจะมีรักอย่างสร้างสรรค์   อย่าดูหมิ่นเรื่องเพศสัมพันธ์ว่าเป็นเรื่องจะทำอย่างไรก็ได้  หากยังศึกษาเล่าเรียน  จงใช้การเรียนนั่นแหละเป็นสิ่งที่ช่วยในการฝึกสติให้เข้มแข็ง คนที่ทำงานแล้วก็จงไว้ตัวอย่างมีสติจนกว่าจะตกลงปลงใจ เพียงแค่รักและคิดถึงเขา  แต่อย่าเพิ่งปล่อยร่างกายไปตามใจ เหมือนคนสมัยก่อนเขาใช้วัฒนธรรมประเพณีในการควบคุมความประพฤติของหนุ่มสาวก่อนจะตัดสินใจแต่งงานมีครอบครัวต่อไป การมีความสัมพันธ์ต่อกันแบบไม่ตั้งใจหรือปล่อยตามอารมณ์เป็นที่ตั้ง จะทำให้ใจเกิดความหดหู่และขาดความเคารพตนเอง  กลายเป็นปมด้อยในภายหลังได้  ท่านจึงสอนให้ยับยั้งชั่งใจในเรื่องนี้ไว้ก่อนเป็นหลัก


                         เมื่อตัดสินใจเป็นนักเรียนนักศึกษา  เราก็ต้องเรียนจริง  ยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน  ยอมที่จะงดการหาความสุขทางเพศไว้ก่อน  อย่าไปคิดทดลองตามเขา อย่าใจร้อนด่วนได้ทำตามคนอื่นโดยที่เราก็รู้ว่าไม่ใช่ “หนทาง”ที่เราควรเดินแต่อย่างใด   หากหนุ่มสาวคนใดทำได้   ชีวิตรักหรือชีวิตการแต่งงานของเราจะมีพลังสร้างสรรค์และมีความสุขกว่าคนอื่นอีกมากมาย


                          เหตุใดภูมิปัญญาแห่งบรรพกาล จึงมีคำสอนที่เน้นให้ชายหนุ่มทั้งหลายมีความเป็นสุภาพบุรุษ  และสตรีต้องรักนวลสงวนตัวไว้ก่อนเธอรู้ไหม?


                          เหตุผลที่ลึกซึ้งที่อยู่เบื้องหลังก็คือ  การที่ผู้ชายจะเกิดความรักที่เป็นพลังสร้างสรรค์  ต้องมีความรู้สึกยกย่องเทิดทูนสตรีที่เขารักเสมือนหนึ่งเธอเป็นเทพีผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่จะมาเป็นมิ่งขวัญและเป็นกำลังใจของเขา ผู้ชายที่เกิดความรู้สึกเช่นนี้กับสตรีที่เขารักหรือขอแต่งงานเพื่อเป็นคู่ชีวิต  เขาจะสร้างเนื้อสร้างตัวได้อย่างรวดเร็ว แม้จะเคยยากจนต่ำต้อยมาก่อน


                           การที่ท่านสอนให้ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว  ก็เพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ผู้ชายมาลดคุณค่าในตัวเธอว่าเป็นเพียงวัตถุสิ่งของอย่างหนึ่งเท่านั้น  การไว้ตัวของสตรีก็คือการเป็นผู้มีสติอย่างหนึ่งในการที่จะช่วยคัดกรองผู้ชายที่ผ่านเข้ามาว่าจะต้องมีความรักแท้ต่อเธอในระดับหนึ่ง หรือมีความรักจริงเพียงใด  ก่อนจะตัดสินใจครองคู่ใช้ชีวิตร่วมกัน


                           การพิสูจน์ว่าผู้ชายคนนั้นมีความรักแท้ต่อผู้หญิงหรือไม่ ก็คือการกล้าสู่ขอหรือกล้าแสดงความรับผิดชอบโดยต้องกล้าเผชิญหน้าต่อพ่อแม่ฝ่ายหญิง นั่นแสดงว่าเขาได้แสดง “วุฒิภาวะแห่งความเป็นลูกผู้ชาย”  ผู้หญิงจึงจะมีความพร้อมที่จะมอบกายและใจ สตรีที่ทำได้เช่นนี้เธอจะมีใจคอหนักแน่นและมีสมาธิอย่างลึกซึ้ง  อันเป็นผลจากการที่เธอมีรักแท้ในใจ


                           หากจะมีความรัก จงเดินบนเส้นทางที่สร้างสรรค์  อย่าคิดว่าเรื่องทางเพศเป็นเรื่องง่ายๆแค่เรื่องของร่างกายจะทำให้สูญเสียความมั่นใจในภายหลัง  ตามภูมิปัญญาแห่งบรรพกาล เพศศึกษาที่แท้จริงนั้น ท่านหมายถึงการหลอมรวมร่างกายและจิตใจเพื่อให้ชีวิตเข้าสู่ความสมดุลต่างหาก  การสมรสจึงไม่ใช่เพียงแค่พิธีแต่งงานหรือสินสอดทองหมั้น  แต่คือการที่คนทั้งสองได้หลอมรวมร่างกายและชีวิตจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน  เพื่อเข้าสู่ภาวะสมดุลของชีวิต

 
                           ความรักที่สร้างสรรค์  จะนำไปสู่ชีวิตที่สมดุลอย่างเป็นธรรมชาติ  เป็นการปฏิบัติธรรมในภาคของฆราวาสที่ถูกละเลยและลบเลือนไป  ซึ่งคนสมัยก่อนท่านปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เด็ก  บรรพบุรุษของเรานั้นท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลานได้  ก็เพราะดวงจิตของท่านดำรงอยู่ด้วยสติและปัญญา  อยู่ในครรลองแห่งอริยะโดยไม่มีการโฆษณานั่นเอง


                          ในท่ามกลางแห่งความรักนั้นจะมีทั้งความสนิทใจ  มีความไว้วางใจ  ความอบอุ่นใจ มีทั้งความปลื้มปีติที่คอยหล่อเลี้ยงหัวใจ  และที่สำคัญ สติจะเพิ่มพูนตามลำดับจนกลายเป็นความรักของพระโสดาบัน    ความรักเช่นนี้นั้นจะเป็นสมาธิภาวนาอยู่ในตัว

 

                                                                           คุรุอตีศะ
                                                                   ๔  พฤษภาคม  ๒๕๕๘