พลังแห่งการเยียวยา

พลังแห่งการเยียวยา

 

 

 

                   ผู้ที่ท่านเกิดมาเพื่อความหลุดพ้น  จิตของท่านย่อมแน่วแน่ต่อการหลุดพ้น  และจะมีเหตุปัจจัยเกื้อหนุนจนให้บรรลุสู่ความหลุดพ้น  อันเป็นวิถีที่ต่างจากคนธรรมดาสามัญทั่วไป


                   แต่เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่  จะได้มีวิสัยที่จะดำเนินไปสู่ความหลุดพ้นเหมือนท่านเหล่านั้นก็หาไม่   แทบจะทั้งหมดล้วนพอใจที่จะเวียนว่ายตายเกิด  พอใจที่จะแต่งงานมีครอบครัว  พอใจที่จะสร้างฐานะให้ร่ำรวยหรือมีอำนาจวาสนาแทบทั้งนั้น  พูดง่ายๆก็คือผู้คนทั้งหลายล้วนพอใจในความรัก ความผูกพัน ไม่ได้ปรารถนาการหลุดพ้นแต่อย่างใด  ดังนั้น   ธรรมะที่จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของคนทั่วไป  จึงไม่ใช่ธรรมะสำหรับความหลุดพ้น แต่คือความมีสติเข้าใจในชีวิตของตนเอง  มีความรักดุจต้นไม้ที่ได้รับน้ำฝน ชีวิตของเราจึงจะมีความสุข


                     เราน้อมกราบไหว้ในองค์คุณของพระอรหันต์หรือท่านผู้หลุดพ้นไปแล้ว  เพื่อเป็นการเจริญภาวนาด้วยการมีสติตามระลึกถึงองค์คุณของปวงเหล่าอริยสงฆ์  เรียกว่า “สังฆานุสติ”


                     การนอบน้อมเคารพด้วยความซาบซึ้ง  คือพลังแห่งศรัทธา  อันจะสามารถสมานแผลและรักษาเยียวยาหัวใจที่แตกร้าวและบอบช้ำยับเยินของเราได้  แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่สามารถไปเอาอย่างหรือเลียนแบบท่านเหล่านั้นแต่อย่างใด  และแท้จริงแล้วตัวศรัทธาความเลื่อมใส ก็คือชื่อหนึ่งของ “ความรัก” ที่สะอาดสูงส่งขึ้นมาอีกระดับหนึ่งนั่นเอง


                     ผู้คนส่วนใหญ่น้อยนักจะเกิดความรักชนิดนี้ขึ้นมาในหัวใจ   ส่วนใหญ่จะติดอยู่เพียงแค่ความรักในระดับต่ำสุดคือความรักอันเป็นความใคร่ระหว่างเพศของหญิงชายเท่านั้น


                     ผู้ชายที่หัวใจยังไม่เคยเกิดความรักที่เป็นความเลื่อมใสศรัทธา  เขาจะเที่ยวแสวงหาความรักจากผู้หญิงหรือติดแค่ร่างกายของสตรีอยู่ตลอดเวลา  จนกว่าหัวใจของเขาจะเกิดความศรัทธาในศาสนา  นั่นจึงจะเป็นการเริ่มต้นที่หัวใจของเขาจะเริ่มอ่อนโยนและเริ่มมีความรักแท้ในหัวใจที่จะมอบให้แก่ภรรยาหรือคู่ครองของตนเอง เขาจะเกิดความหนักแน่นในจิตใจ มีความมั่นใจในตัวเองอย่างลึกซึ้ง และหัวใจของเขาจะเกิดความชุ่มเย็น มีความนุ่มนวลอ่อนโยนมีเมตตา  มีความรักที่องอาจและงามสง่า อันเกิดจากพลังแห่งศรัทธาที่ยากจะเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ชายโดยทั่วไป


                      ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติพิเศษประจำตัวในฐานะเพศหญิงอยู่แล้ว นั่นคือ “ความรัก”  ผู้ชายทุกคนที่ขอแต่งงานกับสตรีแทบทั้งหมดล้วนเกิดจากเขาพ่ายแพ้ต่อ “พลังแห่งความรัก”ของสตรีที่มีเสน่ห์ทรงอิทธิพลเหนือหัวใจของเขาได้  เพียงแค่ความดึงดูดทางเพศเพียงอย่างเดียว จะไม่ทำให้ผู้ชายคนนั้นอยากใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงคนนั้นตลอดไป  การแต่งงานจึงเป็นเรื่องใหญ่ของผู้ชายเจ้าชู้ทั้งหลาย  เพราะในส่วนลึกของจิตใจเขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาต้องการและแสวงหามาเนิ่นนานไม่ใช่การแต่งาน แต่สิ่งนั้นก็คือ “ความรัก”นั่นเอง


                        ด้วยเหตุที่ผู้หญิงมีความรักที่อ่อนโยนมีเมตตา อยู่เป็นพื้นฐานของจิตใจอันเหนือกว่าบุรุษอยู่ก่อนแล้ว  หากวันหนึ่งเธอได้มีโอกาสฟังธรรมของพระอริยเจ้าจนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา  เธอจะเกิดความเลื่อมใสอันลึกซึ้งจนยากที่จะอธิบาย  เพราะได้รับรสของพระธรรมที่ในชีวิตไม่เคยได้รับความสุขสงบใจเช่นนี้มาก่อน  ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงจึงเข้าถึงความเลื่อมใสศรัทธาก่อนผู้ชายและมีจำนวนผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย  ส่วนผู้ชายศรัทธาจะเกิดตามหลังปัญญา

 
                        การที่ผู้หญิงเกิดศรัทธาในศาสนานั้นไม่ใช่เธอไม่รักลูก ไม่รักสามี ไม่รักครอบครัว  หรือว่าศรัทธางมงายอย่างที่ผู้คนมักกล่าวหาเธอแต่อย่างใด  เพียงแต่เธอเกิดความสุขทางจิตใจที่ประณีต ลึกซึ้ง เหนือกว่าความรักใดๆในทางโลก  ซึ่งจะเป็นอยู่สักระยะหนึ่ง


                        หากมีคนเข้าใจ  หัวใจที่ได้รับการเยียวยาและเพิ่มพลังชีวิตด้วยพระธรรมนั้น  จะทำให้เธอรักและเข้าใจสามี หรือรักครอบครัวอย่างทรงพลังมากขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกหลายเท่า  และเทวดาจะรักษาตัวเธอและครอบครัวทำให้มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน   พลังศรัทธาที่มีในตัวเธอ  ก็ยิ่งจะทำให้สามีรักเธอมากขึ้น  เพราะความรักที่สูงส่งงดงามเกิดขึ้นในหัวใจไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย   จะมีอานิสงส์ให้คนอยู่ใกล้เกิดความเย็นใจและเกิดสิริมงคลตามมา


                        แต่เพราะผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องนี้  ผู้ชายทั้งหลายก็มักมองไปในแง่ร้าย  มักเอาความเจ้าชู้ที่มีอยู่ประจำนิสัยมาเป็นมาตรฐาน  ส่วนผู้หญิงก็จะไม่เข้าใจตนเอง บางคนก็ไม่อยากกลับบ้าน  กลับไปรับผิดชอบครอบครัว  อยากอยู่วัดและมีความสุขแบบนั้นเรื่อยไป  สุดท้ายครอบครัวก็เริ่มไม่เข้าใจ  ในบางกรณีก็อาจนำผลร้ายมาสู่ครูบาอาจารย์ของตนก็มี


                         ด้วยเหตุนี้  จึงพยายามแนะนำให้ทุกคนปฏิบัติธรรมให้อยู่กับชีวิตความเป็นจริงไว้เป็นหลัก  หากเราเป็นภรรยาที่สามีเขารักและแหนหวงอนุญาตยอมให้ไปรักษาศีลหรือไปปฏิบัติธรรมตามโอกาส  ก็อย่าเอาแต่นั่งสมาธิจนลืมบ้าน  เพราะชีวิตจริงของเราคือคนที่ใช้ชีวิตคู่หรือคนที่แต่งงาน


                          อย่าลืมว่าที่เขาอนุญาตให้ไปปฏิบัติธรรมนั้น ถือว่าเขารักเรามากที่สุดแล้ว  เราก็ต้องรักษาและถนอมน้ำใจเขาเช่นกัน  เมื่อไปปฏิบัติธรรมแล้วกลับมาบ้าน  ก็ต้องทำตัวให้น่ารักและเอาอกเอาใจเขายิ่งกว่าเดิม    แม้ฝ่ายบุรุษก็ต้องเข้าใจในเรื่องนี้ทำนองเดียวกัน


                           ถ้าเราจะมุ่งหลุดพ้น  เราก็ต้องสละครอบครัวออกบวชเหมือนครูบาอาจารย์ผู้เด็ดเดี่ยวทั้งหลาย  แต่ในเมื่อชีวิตจริงของเราจะทำเช่นนั้นไม่ได้  ก็จงปฏิบัติธรรมกับชีวิตจริงที่กำลังเป็นไปในขณะนี้  เราจะต้องเป็นดอกบัวที่ไม่รังเกียจหรือดูหมิ่นโคลนตม  สติที่ทำหน้าที่ไปอย่างเป็นธรรมชาติ   ก็จะทำให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคลในชาตินี้แม้จะมีครอบครัว


                           การเจริญภาวนาของบุคคลผู้ครองเรือนต้องเดินตาม “วิถีแห่งความรัก” หาใช่ต้องเดินตาม “วิถีแห่งโยคะ”อันเหมาะกับผู้สละการครองเรือนได้แล้วมุ่งก้าวข้ามกามราคะเป็นหลัก  ควรเจริญสติตามฐานะของความเป็นภรรยาและสามี  เมื่อใดที่ทั้งสองตกลงกันที่จะบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี  ก็จงบำเพ็ญตบธรรมให้สูงขั้น  ในท่ามกลางความรักความเข้าใจนั่นเอง


                           จงมีความสุขท่ามกลางชีวิตจริงของเราในวันนี้  จงยอมรับว่าเราต้องอยู่ในโคลนตมเพื่อดอกบัวจะได้ค่อยๆเติบโตและชูช่อบานในวันหนึ่ง เราจะเอาแต่ดอกบัวอันงดงามเพียงอย่างเดียวหาได้ไม่  เราต้องอยู่กับน้ำที่ขุ่นไปก่อนเพราะยังต้องอาศัยโคลนตมตามความเป็นจริง  เมื่อนานไปน้ำในสระก็จะใสขึ้น  ดอกบัวก็จะค่อยๆเติบโตและโผล่พ้นน้ำ  เมื่อแสงแดดส่องมาดอกบัวก็ชูช่อและแย้มบานอย่างเป็นไปเองเมื่อถึงกาลเวลา


                            เราน้อมใจถึงพระอรหันต์และพระอริยเจ้าทั้งหลาย  ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสและชุ่มชื่นหัวใจ  แต่ชีวิตจริงของเราต้องอาศัยอยู่กับความรักและการมีครอบครัว


                           ท่านเปรียบดวงพระอาทิตย์อันเจิดจ้า  ส่วนเรานี้ดุจหิ่งห้อยตัวน้อย  ที่ขอส่องแสงระยิบระงับประดับแนวป่าด้วยความเจียมตัวไปแต่ละวันอย่างสุขใจไปตามประสา ชีวิตนี้ก็แทบไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว   จะขอเอาพลังแห่งความรักนี้นั้นเป็นพลังแห่งการเยียวยา  เราจะเอาพลังแห่งความรักเป็นพลังแห่งการฟันฝ่าต่ออุปสรรคปัญหาทั้งปวง


                            เมื่อใดที่หัวใจมีความรัก  ปัญหาจะมากมายสักแค่ไหน  เมื่อนั้นจิตใจจะมั่นคงและเข้มแข็ง  แท้จริงแล้วพระอรหันต์คือผู้มีความรักอันบริสุทธิ์จนไม่เหลือพื้นที่ไว้ในการรักตัวเองเพราะท่านทำลายหรือสละอัตตาได้อย่างเด็ดขาด  พระโสดาบันบุคคลคือผู้เข้าถึงความรักแท้ได้ ๒๕ เปอร์เซ็นต์  ส่วนปุถุชนนั้นความรักจะติดอยู่ที่เปลือกภายนอกคือร่างกายที่ต้องใช้สติในการพัฒนาต่อไป  ดังนั้น ดอกบัวไม่ได้เกิดที่ไหน แต่เกิดจากโคลนตมนั่นเอง


                         จงรักษาใจดวงนี้ให้อยู่กับความรักไว้เป็นพื้นฐาน  การปฏิบัติธรรมของเราจะไม่สับสน ไม่มีความขัดแย้งในตัวเอง  จะมีความสุขในการปฏิบัติธรรมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


                         เมื่อเรามอบหัวใจให้ความรักในการเป็นพลังเยียวยาแห่งชีวิต ความรักจะกลายเป็นพลังที่ศักดิ์สิทธิ์  ที่จะช่วยเยียวยาและรักษาโรคภัยทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ อันเหนือกว่ายารักษาโรคและการรักษาใดๆทั้งปวง

 

                                                                               คุรุอตีศะ
                                                                       ๑๕  มีนาคม  ๒๕๕๘