ซึมซับเอาความดีงาม

ซึมซับเอาความดีงาม

 

 

 

                 ความโชคดีของมนุษย์ที่สำคัญ  คือการได้มีโอกาสได้อยู่ใกล้คนดีมีจิตใจสูงมีคุณธรรม ได้พบและได้เข้าใกล้นักปราชญ์หรือพระอริยเจ้าผู้ทรงปัญญา  แล้วมีความประทับใจในชีวิตและจริยาวัตรท่านเหล่านั้น จนกระทั่งดวงจิตได้ซึมซับเอาสิ่งดีงามจากตัวท่านเข้ามาสู่ชีวิตและหัวใจของตัวเองทีละน้อยโดยไม่รู้ตัวหรือไร้เจตนา  นี้คือคุณค่าและความยิ่งใหญ่ของการได้พบหรือได้อยู่ใกล้ผู้นำทางจิตวิญญาณหรือครูบาอาจารย์


                  แท้จริงแล้วไม่มีการปฏิบัติธรรมอะไร  แต่คือการซึมซับเอาพลังแห่งความรักและความดีงามจากท่านเหล่านั้น  อันเกิดจากความประทับใจหรือความศรัทธาเลื่อมใส  พลังแห่งความบริสุทธิ์และความดีงาม  จะทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการที่จะพัฒนาจิตวิญญาณภายใน


                  สติที่เคยอ่อนแอก็จะมีพลังกล้าแข็งขึ้น  สติที่เกิดบ่อยมากขึ้นเมื่อได้เหตุปัจจัยที่เกื้อกูลและเหมาะสมนั่นเองคือการปฏิบัติธรรม การเดินจงกรมและการนั่งสมาธิ ก็คือการเจริญสติปัฏฐานในอิริยาบถหนึ่งของร่างกาย  หากไม่มีการงานอย่างอื่นอันเหมาะกับเพศนักบวช


                  เพียงมีครูหรือผู้นำทางจิตวิญญาณที่แท้จริงเพียงหนึ่งคน ที่เราได้มีโอกาสเข้าใกล้ ได้มีโอกาสสดับธรรม พร้อมกับหัวใจที่มีความเลื่อมใสศรัทธา  สมาธิภาวนาจะเริ่มเกิดขึ้นในชีวิตจริง  ความสุขและความร่มเย็นจะเริ่มเกิด  แม้ว่าขณะนี้เราจะอยู่ท่ามกลางชีวิตการครองเรือน


                   ความรู้สึกซาบซึ้งในความดีงาม ย่อมมีอานุภาพสร้างชีวิตคนให้เจริญงอกงามได้อย่างไม่น่าเชื่อ  วัยรุ่นหรือหญิงสาวที่มีโอกาสได้พบกับภาพของครอบครัวสามีภรรยาที่มีความรักความอบอุ่นตั้งแต่ตัวเธออายุยังน้อย  ความประทับใจและความใฝ่ฝันที่เกิดขึ้นในจิตใต้สำนึกที่คอยซึมซับเอาความดีงามมาสู่ตัวเองตลอดเวลา  จะทำให้ในเวลาต่อมาเธอจะได้พบกับความรักหรือได้แต่งงานกับผู้ชายที่จะช่วยกันสร้างชีวิตครอบครัวให้อบอุ่นแบบที่เธอใฝ่ฝันในวันหนึ่ง


                   ชายหนุ่มหรือวัยรุ่นที่มีโอกาสได้พบกับผู้ชายที่มีครอบครัว ที่มีความรักความซื่อสัตย์ต่อครอบครัวแม้จะห่างไกลกันด้วยหน้าที่การงาน  ความประทับใจในความซื่อสัตย์ที่เขาได้เห็นตัวอย่างจากผู้ชายที่รักครอบครัวคนนั้น  ความประทับใจในตัวภรรยาที่มีความไว้วางใจในตัวสามีอันหญิงทั่วไปทำได้ยาก  จะซึมซับเข้ามาสู่ตัวของเขาอย่างไม่รู้ตัว  เขาประทับใจที่เห็นภรรยาสามีมาเยี่ยมเยียนกันด้วยความรัก  เขาแอบชื่นชมและประทับใจในระหว่างความรักของคนทั้งสอง  ต่อมาเขาจะพบกับสตรีที่มาร่วมสร้างชีวิตแบบนั้นและได้รับความรักที่ประเสริฐในเวลาต่อมา  ความประทับใจและการซึมซับเอาแต่สิ่งที่ดีงาม  จะสร้างจักรวาลที่ดีงามให้แก่เขา


                       ขอเพียงให้ได้มีโอกาสได้อยู่ใกล้ หรือได้สนทนากับบุคคลผู้สามารถสร้างแรงบันดาลใจ ที่มีพลังในการชักจูงหัวใจของเราให้ขึ้นไปสู่ความสูงส่ง  เพียงเท่านั้นก็คือบันไดที่จะนำความก้าวหน้ามาสู่ชีวิตแล้ว  คำโบราณที่ท่านสอนว่า “อย่าคบคนพาล  ให้คบแต่บัณฑิต” ก็เพื่อจะได้ซึมซับเอาสิ่งดีงามจากตัวท่านเหล่านั้นให้ไหลหลั่งมาสู่ชีวิตของเรา


                     แม้จะเคยเป็นคนบาปหรือต่ำต้อยมาก่อนสักเพียงไหน  บุคคลนั้นก็จะค่อยๆเกิดการพัฒนาแห่งชีวิต  กลายเป็นต้นไม้ที่ได้รับปุ๋ยและน้ำฝน เกิดความงอกงามและเจริญเติบโต


                      บุคคลที่จะได้พบกับความรักที่ดีงามในชีวิตของตน  จะต้องได้พบตัวอย่างของความรักที่ดีงามมาก่อน   บุคคลที่ยากจนจะร่ำรวยมั่งคั่งขึ้นมา  จะต้องได้พบหรือได้รู้จักบุคคลที่สร้างตัวเองจนมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นมาเสียก่อน  อาจพบตัวจริงหรือพบจากประวัติในหนังสือก็ได้


                       ในทางธรรมหรือในทางศาสนา  บุคคลที่จะเป็นพระอริยบุคคลในชาตินี้  จะต้องได้พบกับพระอริยเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง แม้ว่าตนเองอาจจะไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นเป็นพระอริยบุคคล


                       ความประทับใจและความซาบซึ้งใจที่บุคคลนั้นมีต่อท่านอย่างปราศจากความลังเลสงสัย  กลายเป็นความเลื่อมใสศรัทธาอันมั่นคง  นั่นคือประตูที่เปิดออกต้อนรับผู้ที่มีวาสนาบารมี  ที่เกิดมาในชาตินี้เพื่อสร้างบารมีในการค้ำจุนพระศาสนาหรือมุ่งสู่ความหลุดพ้น  แม้ว่าตนเองอาจจะไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังดำเนินอยู่บนเส้นทางแห่งอริยมรรค  แต่ครูบาอาจารย์ท่านจะรู้


                       การได้พบกับผู้นำทางจิตวิญญาณหรือพระอริยบุคคล  จนกระทั่งเกิดแรงบันดาลใจอันใหญ่หลวงชนิดเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้   มีอานุภาพยิ่งใหญ่กว่าการปฏิบัติธรรมตามรูปแบบที่ทำตามๆกันไป  แม้จะนั่งสมาธิหรือเดินจงกรรมมากเพียงใดก็ยังไม่ได้ชื่อว่าจิตเดินอยู่บนสัมมาอริยมรรค  เนื่องจากความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ยังไม่เพียงพอ   การได้พบพระอริยเจ้าในชาตินี้  จึงเป็นความโชคดีที่หาได้ยากในโลก


                      เมื่อจิตดวงนี้ซาบซึ้งและประทับใจในพระรัตนตรัยขึ้นมาวันใด  วันนั้นคือการก้าวเดินครั้งสำคัญแห่งจิตวิญญาณภายใน  ที่จิตดวงนี้มีแต่จะเดินไปข้างหน้าในฐานะผู้มีความเพียรอย่างไม่เบื่อหน่ายและจะไม่มีการเดินหลงทางอีกแล้ว


                      ครูบาอาจารย์ที่แท้จริงหรือนักปราชญ์ผู้รู้แจ้ง  ท่านมักพูดให้เป็นข้อคิดและเป็นปริศนาคล้ายๆกันว่า “แท้จริงแล้วท่านไม่ได้สอนการปฏิบัติอะไร  แต่ท่านทำให้ดู  เป็นอยู่ให้เห็น มีชีวิตอยู่ในแต่ละวันด้วยการหยุดและเย็นให้ดูเท่านั้น”


                      เพียงการปรากฏตัวของผู้รู้แจ้งหรือผู้นำทางจิตวิญญาณเพียงท่านหนึ่ง ณ มุมใดหรือภูมิภาคใดบนผืนโลกใบนี้   เพียงเท่านั้นแสงสว่างทางปัญญาก็จะเริ่มฉายแสงกระทบจิตใจของผู้คนที่เคยหลับใหลให้ตื่นขึ้นมา  พระอริยบุคคลจึงเปรียบประดุจพระอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่าง


                      การซึมซับเอาสิ่งดีงามจะบังเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ  นั่นคือการปฏิบัติที่เป็นไปตามธรรมชาติเดิมแท้  ที่ไม่มีความเคร่งเครียดกดดันใดๆอยู่ในการปฏิบัติ  มีแต่ความสงบและผ่อนคลาย มีแต่ความรู้ ตื่น เบิกบาน ที่สอดคล้องกับธรรมชาติในแต่ละขณะที่กำลังเป็นไป


                     เพียงพระอาทิตย์ฉายแสงขึ้นมาจับขอบฟ้า  ความมืดมนอนธกาลทั้งปวงก็มลายหายไป โดยไม่ต้องไปพยายามกำจัดความมืดแต่อย่างใด


                     บุคคลผู้ที่ได้ปฏิบัติธรรมมาหลายภพหลายชาติ  ในชาติปัจจุบันเพียงมีโอกาสได้ฟังธรรมของพระอริยเจ้าผู้รู้แจ้งเพียงครั้งเดียวแล้วเกิดสติปัญญา  หลังจากนั้นการปฏิบัติธรรมและการเจริญสมาธิภาวนาจะเกิดขึ้นตามมา และกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต  ชนิดที่จิตดวงนี้จะเลิกการแสวงหา และจะไม่มีการเลิกราจากการปฏิบัติอีกเลย

 

 

                                                                         คุรุอตีศะ
                                                                 ๑๐  มีนาคม  ๒๕๕๘