ศาสนาที่เที่ยงแท้
- รายละเอียด
- หมวด: คติธรรม/ปรารภธรรม
ศาสนาที่เที่ยงแท้
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือต้นลำธารของการเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนา หากเจ้าชายสิทธัตถะไม่บรรลุธรรม เข้าถึงสภาวะแห่งพุทธะที่รู้ ตื่น เบิกบาน พระพุทธศาสนาก็ย่อมไม่มีโอกาสอุบัติขึ้นมาในโลก สิ่งอันยิ่งใหญ่มากมายในโลกนี้มักเริ่มต้นมาจากคนเพียงคนเดียว
ศาสนาพุทธที่แท้จริงก็เริ่มต้นมาจากบุคคลเพียงคนเดียว แต่พลังแห่งความรักความเมตตาและพลังแห่งสติปัญญาที่มีอย่างเต็มเปี่ยมในพระองค์ จึงค่อยๆแผ่รัศมีแห่งความดีงามสูงส่งออกไปทีละน้อย ทีละคนสองคนในภายหลัง หลังจากนั้นคำสอนเหล่านั้นจึงได้รับการสืบทอดมาเป็นเวลาถึงสองพันหกร้อยปีและกว้างไกลแผ่ขยายออกไปทั่วทั้งโลก
ศาสนาที่แท้จริงจึงไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่อยู่ที่ใจของเราในขณะนี้ที่ได้พบกับความสะอาด สว่าง สงบ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด
ศาสนาของพระพุทธองค์ที่ทรงเทศนาตรัสสอนพระสาวกกลุ่มแรก ก็เริ่มต้นจากการแสดงธรรมแก่คนเพียง ๕ คนเท่านั้น คือ “พระปัญจวัคคีย์” หลังจากนั้นจึงเกิดพลังความเลื่อมใสศรัทธาของมหาชนตามลำดับ ทำให้เกิดวัดวาอาราม เกิดกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกันหรือการวางหลักพระธรรมวินัย เกิดองค์กรหรือการบริหารงานทางศาสนาต่างๆตามมา โดยที่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เริ่มต้นมาจากบุคคลเพียงคนเดียวการที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้หรือบรรลุธรรม
หลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา เมื่อความเจริญเติบโตของมวลชนสาวกบริวารและความเจริญทางวัตถุความสะดวกสบายมีมากขึ้น ก็ต้องถึงยุคหนึ่งที่ศาสนาเกิดความเสื่อมโทรมเพราะสาวกทั้งหลายจะพากันติดความสะดวกสบายทางวัตถุและติดใจหลงใหลในลาภสักการะ
ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ก็จะพากันละเลยศาสนธรรมคำสั่งสอนอันเป็นแก่นแท้ ทำให้เกิดการประพฤติปฏิบัติผิดเพี้ยนไปจากพระธรรมวินัย บางพวกก็บิดเบือนพระธรรมวินัยเพื่อเข้าข้างกิเลส อันเป็นสาเหตุให้เกิดการทำสังคายนาเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของพระพุทธศาสนา
การจรรโลงรักษาพระพุทธศาสนาของพระมหาเถระแต่อดีตกาลนั้น ดังที่ปรากฏในพระไตรปิฎกว่าด้วยการสังคายนาครั้งที่ ๓ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๓๐๐ ก็ยังปรากฏว่ามีคนปลอมเข้ามาบวชเพื่อการเลี้ยงชีพหรือแสวงหาอำนาจ เพราะความอุดมสมบูรณ์ของลาภสักการะที่เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา นอกจากนั้นความรุ่งเรืองของพุทธศาสนายังเป็นที่ริษยาของศาสนาอื่นในเวลานั้น จึงพากันแฝงตัวเข้ามาบวชและแทรกซึมในองค์กรทางการเมืองและองค์กรทางศาสนาเพื่อบ่อนทำลาย จึงทำให้เกิดการสังคายนาครั้งใหญ่ และตามประวัติที่ท่านกล่าวไว้ ในครั้งนั้นมีการจับพระสึกถึง ๖๐,๐๐๐ รูปด้วยกัน หลังจากนั้นพระพุทธศาสนาจึงมาสู่สุวรรณภูมิ
ด้วยเหตุนี้ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา จึงหาใช่สิ่งที่จะเพิ่งเคยเกิดขึ้นในยุคนี้ พวกเราหลายคนอาจจะเคยเกิดในยุคสมัยนั้นมาแล้วก็ได้ แต่เพราะไม่อาจตัดขาดซึ่งตัวตัณหาอุปาทานและกิเลสทั้งปวงได้ตามอย่างพระอรหันต์ จึงต้องพากันเกิดชาติแล้วชาติเล่าเพื่อเรียนรู้เรื่องจิตให้จบ แล้วก็ต้องได้มาประสบกับเหตุการณ์ต่างๆดังที่เป็นอยู่
ผลพวงจากการออกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ต้องรวบอำนาจทั้งปวงเข้าสู่ส่วนกลางด้วยเหตุผลทางการเมือง คณะสงฆ์ไทยจากแต่เดิมซึ่งเป็นเรื่องของความเลื่อมใสศรัทธาของประชาชนในท้องถิ่นตามธรรมชาติ ก็ต้องมาอยู่ภายใต้อำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์และการเมืองการปกครองจากกรุงเทพมหานครเป็นหลัก ทำให้เกิดเคราะห์กรรมแก่พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพราะเป็นที่เลื่อมใสแก่ประชาชนจำนวนมาก จึงกลายเป็นที่หวาดระแวงของฝ่ายบ้านเมือง อย่างเช่นกรณีของครูบาศรีวิชัย เป็นตัวอย่างแรกเริ่ม
นี้คือตัวอย่างของการพูดถึงเรื่องความเป็นมาขององค์กรทางศาสนา และการบริหารงานของคณะสงฆ์ไทยก่อนจะมีผลสืบเนื่องมามีลักษณะเช่นที่เห็นอยู่ทุกวันนี้
ความจริงแล้ว ตามอุดมคติในการออกบวชในทางพระพุทธศาสนา ก็เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า มีเจตนาเพื่อการสละความยินดีทางโลก ด้วยเหตุนี้ ผู้คนทั้งหลายแม้แต่บิดามารดา จึงต้องก้มลงกราบบุตรชายที่บวชเป็นพระภิกษุแล้ว เพราะถือว่าอยู่ในเพศที่สูงส่งและกลายเป็นพุทธบุตรคือเป็นบุตรของพระพุทธองค์ไปแล้ว ที่ผู้คนยินดีกราบไหว้และรู้สึกว่าเป็นบุญ ก็เพราะถือว่าบุคคลผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์นั้นคือผู้สละฆราวาสวิสัย มุ่งสู่พระนิพพาน
เมื่อลาภสักการะและความอุดมสมบูรณ์ในพระพุทธศาสนามีมากขึ้น อุดมคติในการบวชเช่นนี้ก็เริ่มหายไป กลายเป็นบวชด้วยเหตุผลอื่นมากกว่า เพราะเหตุนี้ผู้คนจึงเริ่มคลายความเลื่อมใสศรัทธาในพระสงฆ์ อันเป็นธรรมดาที่เมื่อถึงเวลา เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างสุกงอมก็ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
ด้วยเหตุนี้ การเปลี่ยนแปลงทางองค์กรพระพุทธศาสนา ถึงอย่างไรเสียก็ต้องมีการปฏิรูปครั้งใหญ่อย่างไม่มีทางเลือกต่อไปอีกแล้ว เพียงแต่ควรเริ่มต้นจากพระมหาเถระผู้มีเจตนาบริสุทธิ์ในการดำรงพระธรรมวินัย ไม่ใช่ปล่อยให้ฆราวาสมาใช้กฎหมายบีบบังคับตามวิสัยแบบชาวโลก หากเป็นเช่นนั้น การปฏิรูปพระพุทธศาสนาจะไม่มีทางเกิดขึ้นจริงได้เลย
สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรลืม คือการระลึกอยู่เสมอว่า ตัวศาสนาที่แท้จริงนั้น คือใจที่สะอาด สว่าง สงบ และความมีสติปัญญา พร้อมตระหนักรู้ในความเป็นพุทธะคือรู้ ตื่น เบิกบาน ในขณะนี้ไว้เสมอ
หลักการของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้นไม่มีชนชั้นวรรณะ ไม่มีการแสวงหาอำนาจความเป็นใหญ่หรือความมีบริวาร ไม่มีการกดขี่ดูหมิ่นสตรีเพศแต่อย่างใด
วัดวาอาราม อำนาจ เงินทอง บริวาร หรือความเลื่อมใสทั้งหลาย ยังเป็นเพียงสิ่งภายนอก ประดุจเปลือกและกะพี้อันแข็งแรงที่จะช่วยถนอมรักษาเนื้อไม้และแก่นของต้นไม้ไว้ ซึ่งสำหรับผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ก็ต้องดำเนินการไปด้วยสติ ความรอบคอบ หยั่งรู้ในเหตุการณ์ในภายภาคหน้า พร้อมทั้งต้องกระทำไปด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์
ส่วนศาสนาที่เที่ยงแท้ ที่ไม่อาจมีใครหรือสิ่งใดมาทำลายได้ เป็นศาสนาที่อยู่คู่กับตัวเราทุกลมหายใจ คือการมีสติระลึกรู้อยู่เสมอถึงสัจธรรมอันแท้จริงอยู่ภายใน นั่นคือผู้ที่จริงใจต่อศาสนาที่แท้จริง
ท่านผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เหล่านั้นย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้ดำรงพระศาสนา แม้ว่าบางท่านอาจจะอยู่ในป่าตามลำพังและไม่มีลูกศิษย์หรือบริวารแม้แต่คนเดียว
คุรุอตีศะ
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘