กลับสู่จิตเดิมแท้

กลับสู่จิตเดิมแท้

 

 

 

                      หลวงปู่สังวาลย์  เขมโก  วัดทุ่งสามัคคีธรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ผู้เป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อสนอง  กตปุญฺโญ  แห่งวัดสังฆทาน  จังหวัดนนทบุรี  เคยพูดกับศิษย์ผู้ใกล้ชิดในทำนองทำนายเหตุการณ์ในอนาคตตอนหนึ่งว่า “ต่อไปสิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นในเมืองไทย ก็คือให้ระวังสงครามที่เกิดระหว่างพระสงฆ์ด้วยกัน อันเนื่องมาจากผลพวงทางการเมือง”


                      หลวงปู่สังวาลย์พูดไว้ล่วงหน้าเกือบยี่สิบปีแล้ว  ในตอนนั้นไม่มีใครเชื่อ  ท่านยังพูดย้ำขึ้นอีกว่า “เชื่อเราสิ  เราทำกรรมฐานมานาน” คือแม้ท่านจะพูดในท่ามกลางหมู่พระสงฆ์ แต่ท่านก็ยังระมัดระวังเรื่องพระวินัย  เกรงว่าจะเป็นการอวดอุตริมนุสสธรรม  ไม่ยอมพูดตรงๆว่าท่านมี “อนาคตังสญาณ” หรือมีทิพยจักษุหยั่งรู้เหตุการณ์อนาคตข้างหน้า  นี้คือความน่าเคารพบูชาของครูบาอาจารย์ที่อ่านหนังสือไม่ได้แบบคนโบราณ  แต่มั่นคงในพระธรรมวินัยเป็นที่สุด


                     ในยามที่ชะตาบ้านเมืองกำลังคอดกิ่ว  พระพุทธศาสนาก็กำลังสั่นคลอนอย่างหนัก ผู้ที่ไม่มีหน้าที่ในการต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์  ขอจงดำรงความสงบภายในและแผ่เมตตาให้พระศาสนาและชาติบ้านเมืองจงผ่านพ้นภัยอันตราย


                     ขอให้ผู้มีบุญญาธิการทั้งหลายที่เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ในการนี้  จงสามารถรู้เท่าทันในสถานการณ์ แล้วใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ได้อย่างทันท่วงทีและทันเหตุการณ์  จนนำพระพุทธศาสนาก้าวผ่านอันตรายและดำรงความบริสุทธิ์ไว้ได้  จนกลายเป็นที่พึ่งทางจิตใจและเป็นหลักชัยให้แก่ชาวโลกให้ไพศาลสมตามคำทำนาย


                     เหตุการณ์ต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นนี้  เพิ่งเป็นช่วงเริ่มต้นและจะรุนแรงขึ้นมากกว่านี้  ขอให้ทุกคนจงตั้งตนอยู่ในความสงบและมั่นคงอยู่ในกุศลคุณความดี  ความวุ่นวายสับสนและความเสื่อมโทรมในทุกด้านในประเทศไทยในเวลานี้  ทุกสิ่งกำลังเป็นไปตามกฎแห่งกรรมของสัตว์โลก  เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยนี้  เกิดขึ้นทีหลังเพื่อนบ้าน ๔๐ ปี หลังจากพยายามต่อรองและหลบหลีกเพื่อความอยู่รอดด้วยสารพัดวิธีมาเป็นเวลานาน


                     หลังจากปีพุทธศักราช  ๒๕๖๐  ประเทศไทยจะเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่  บางทีอาจต้องมีการย้ายเหมืองหลวงเพื่อเปลี่ยนดวงชะตาของประเทศไทย  เหมือนการย้ายเมืองหลวงจากย่างกุ้งไปกรุงเนปิดอว์ ของประเทศเมียนมาร์   ประเทศไทยก็ถึงเวลาแล้วที่ต้องเป็นเช่นนั้น


                   อาจต้องเปลี่ยนชื่อประเทศจากคำว่า “ประเทศไทย” หลังจากใช้มา ๗๕ ปี  แล้วกลับไปใช้คำว่า “ประเทศสยาม” ตามเดิมเหมือนโบราณดังที่ปรากฏมา  สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันการเมือง  สถาบันศาสนา  ถึงเวลาจะต้องมีการเปลี่ยนโฉมหน้าไปตามยุคสมัย  ก้าวเข้าสู่ยุคชาวศิวิไลซ์ซึ่งมหาชนเป็นใหญ่ตามคำทำนายมาแต่โบราณ


                    เหตุการณ์บ้านเมืองและเรื่องราวต่างๆย่อมมีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามวัฏจักร  แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยหายไปไหน  ไม่มีเจริญไม่มีเสื่อม  ไม่มีขึ้นไม่มีลง  ก็คือ “จิตเดิมแท้”


                    สิ่งอื่นในภายนอก ไม่ว่าบ้านเมือง วัดวาอาราม เรื่องราวของพระสงฆ์หรือเรื่องราวในศาสนาย่อมเป็นธรรมดาที่ไม่อาจล่วงพ้นความผันแปร  มีเพียงสิ่งเดียวที่จะเป็นที่พึ่งในยามคับขันก็คือ “สติ” หรือ “จิตเดิมแท้” อันเป็นชื่อหนึ่งของพระนิพพาน


                    เป็นยุคที่ผู้คนมีวุฒิการศึกษา จะหันมาใช้เขี้ยวเล็บห้ำหั่นกันตามที่ต่างคนก็ต่างเรียนมามาก  เหมือนทหารที่จบมาจากโรงเรียนเสนาธิการหลักสูตรเดียวกัน  แต่ก็มาใช้แง่มุมและเทคนิคเพื่อเอาชนะกันทั้งๆที่เรียนกับอาจารย์คนเดียวกันมาก่อน   เหมือนนักกฎหมายใช้ช่องว่างทางกฎหมายและเล่ห์เหลี่ยมเพื่อเอาชนะกันในคดี  ทั้งๆที่เรียนกฎหมายเล่มเดียวกัน


                    พระพุทธศาสนาในยามนี้นั้น  เดินมาถึงจุดที่ต่างฝ่ายก็ต้องมาใช้อำนาจ เงินทองและความรู้ความเชี่ยวชาญในทางโลกเข้าต่อสู้ห้ำหั่นกัน  เพราะห่างเหินจากจิตเดิมแท้คือความไร้เดียงสา  ที่แต่เดิมมานั้นไม่มีอะไรผิดอะไรถูก  แต่เพราะอุปาทานของแต่ละฝ่ายที่ต่างยึดถือว่าตัวเองเท่านั้นถูก  โดยยกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแห่งความถูกผิด ขาดการเชื่อมโยงต่อสรรพสิ่ง


                    ความขัดแย้งทุกอย่างย่อมนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง  เราจึงเคารพต่อความเปลี่ยนแปลงในทุกด้านที่บัดนี้กำลังมาถึง  ในที่สุดความขัดแย้งทั้งมวลก็ต้องมีวันจบลง  แล้วสิ่งใหม่ๆก็จะบังเกิดขึ้น  นี้คือวิวัฒนาการของสรรพสิ่งบนโลกใบนี้   ที่เราขอน้อมคารวะต่อทุกสรรพสิ่งและสรรพชีวิตทั้งมวล

 

                    ขอให้สิ่งดีๆและความสงบสุขจงกลับคืนมาสู่โลกโดยเร็ววันเถิด

 


                                                                       คุรุอตีศะ
                                                            ๒๒  กุมภาพันธ์  ๒๕๕๘