ปรารภธรรม:อยู่กับความไม่มั่นคง

 อยู่กับความไม่มั่นคง

 

 

                    การแต่งงานหรือการมีครอบครัว คือการแสวงหาความมั่นคงของชีวิตวิธีหนึ่ง ผู้ชายต้องการความมั่นคงว่าผู้หญิงคนนี้คือสมบัติของเรา จะต้องให้ความสุขแก่เราคนเดียวเท่านั้น ห้ามสนใจผู้ชายอื่น ผู้หญิงก็ต้องการความมั่นคงว่าผู้ชายคนนี้เราเพียงคนเดียวได้เป็นเจ้าของ และเขาต้องปกป้องดูแลเราคนเดียวเท่านั้น ห้ามไปดูแลเอาใจใส่ผู้หญิงอื่น


                    น้อยนักที่จะมีผู้คนเข้าใจถึงความต้องการอันแท้จริงที่อยู่เบื้องหลังชีวิตคู่หรือการแต่งงานว่าผู้หญิงกับผู้ชายมีความมุ่งหมายอยู่ในก้นบึ้งหัวใจแตกต่างกัน


                    ผู้หญิงจะเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยความรักอันงดงามตั้งแต่ต้น ส่วนผู้ชายที่คิดแต่งงานมีครอบครัวแทบทุกคนจะเริ่มต้นจากความต้องการทางเพศเป็นพลังขับดันเสียก่อน ความรักของผู้ชายจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริงเมื่อการหมกมุ่นในสิ่งเหล่านั้นลดลง แล้วเริ่มตระหนักถึงความรักความบริสุทธิ์ใจ การร่วมทุกข์ร่วมสุขที่ผู้หญิงคนนี้มีให้แก่ตนจนเกิดความเมตตาสงสารและซาบซึ้งใจ นั่นแหละความรักอันแท้จริงจึงจะเริ่มเกิดในหัวใจของผู้ชาย


                    การที่มีประเพณีอันดีงามแทบทั่วทุกมุมโลกไม่ว่าลัทธิศาสนาไหน ที่มักมีพิธีกรรมคล้ายกันอย่างหนึ่งคือต้องมีพิธีแต่งงานเสียก่อน ผู้ชายจึงจะมีสิทธิ์ล่วงเกินในเนื้อตัวของผู้หญิงได้ ก็เพราะมีเหตุผลอันลึกซึ้งข้อนี้ที่ผู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตครอบครัวมาแล้วท่านไม่รู้จะบอกหรืออธิบายให้หนุ่มสาวเข้าใจในเรื่องนี้ได้อย่างไร ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือหนุ่มสาวทั้งสองที่รักกัน จะได้เข้าถึงความรักอันสูงขึ้นในวันหนึ่ง อันจะทำให้รักและผูกพันกันหรือดูแลกันได้อย่างยั่งยืน


                    ในสมัยนี้เป็นยุคที่หนุ่มสาวมีความเสรีไม่ต้องถูกควบคุมด้วยประเพณีเหมือนแต่ก่อน แต่ถ้าหากหนุ่มสาวคนใดมีสติปัญญา ต้องการจะมีความรักที่ยั่งยืนและเป็นแบบอย่างแก่หนุ่มสาวในยุคต่อไปในภายหน้า หากตัดสินใจเลือกแล้วว่าเราจะคบกับคนนี้เพียงคนเดียวไม่สนใจใครอื่นแล้ว หากเป็นบุรุษจงพาสตรีที่เรารักไปกราบบิดามารดา นั่นคือความรับผิดชอบและเกียรติยศที่เรามอบให้แก่ผู้หญิงที่เรารักแม้จะยังไม่มีรถขับหรือไม่มีเงินซื้อแหวนให้แก่เธอ


                    ส่วนสตรีจงพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายของเขาเสียก่อนว่า คนที่เราคิดว่าช่างแสนดีและเอาอกเอาใจเรานั้น เขามีความกล้าหาญพอที่จะเข้าหาพ่อแม่หรือญาติพี่น้องของเราหรือไม่ ก่อนที่จะคบหาจนถึงขั้นปล่อยตัวปล่อยใจ ถ้าเขาบริสุทธิ์ใจและมีความจริงใจต่อเราแล้วไซร้เขาจะมีความภาคภูมิใจที่จะได้ไปกราบพ่อแม่และเข้าหาญาติพี่น้องของเรา

 

                    หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ควรมีการสู่ขอแล้วจัดพิธีแต่งงานเสีย อย่าไปมัวตั้งเงื่อนไขอะไรให้มากมายหรือดองความรักไว้นานจะเสียการ อย่าไปเอาเรื่องเศรษฐศาสตร์มาใช้กับความรักอันเป็นเรื่องของหัวใจ

 

                    ยกเว้นสำหรับการแต่งงานเพื่อเหตุผลอื่นที่มิใช่เพื่อความรักของคนทั้งสองอันแท้จริง แต่หากแต่งงานด้วยเหตุผลอื่น ก็ต้องกล้ารับผิดชอบที่ชีวิตต้องอยู่ด้วยกันแบบไม่มีความรัก


                    ความรักอันแท้จริงไม่ขึ้นกับปริญญา ไม่ขึ้นกับยศศักดิ์หรือเงินตรา แต่อยู่สูงค่าและเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นมากมาย บุคคลใดพัฒนาขึ้นถึงความรักชนิดนี้ได้ หัวใจของเขาจะไม่รู้สึกขาดแคลนสิ่งใดอีก


                    สิ่งที่ดูเหมือนเล็กน้อยเหล่านี้ แต่คือความสง่างามที่มีคุณค่าทางจิตใจอันใหญ่หลวงของทั้งสองฝ่าย สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างผู้ชายที่ดูเหมือนอ่อนแอหรือขี้อาย ให้กลายเป็นผู้นำและมีความกล้าหาญต่อไปภายหน้าอย่างคาดไม่ถึง จะช่วยสร้างผู้หญิงที่มักอยู่กับความหวั่นไหวให้เกิดความมั่นคงทางจิตใจ แล้วเธอจะเกิดพลังแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ที่จะส่งเสริมให้กำลังใจผู้ชายที่เธอรักและให้เกียรติเธอเช่นนั้นไปจนวันตาย


                    การแต่งงานคือการแสวงหาความมั่นคงในชีวิต ของผู้ที่รู้ตัวว่าไม่สามารถอยู่โดยลำพังคนเดียวได้ แต่ผู้ที่แต่งงานแล้วก็จะค้นพบความจริงว่าแม้จะแต่งงานสร้างฐานะหรือมีลูกสักกี่คน แต่ความรู้สึกถึงความไม่มั่นคงก็ยังคงอยู่ ก่อนแต่งงานก็หวังว่าเมื่อได้อยู่กับเขาแล้ว ชีวิตนี้คงจะมีความมั่นคงไปจนตาย แต่พออยู่นานไปๆ ทำไม่ชีวิตกลับรู้สึกว่า “ไม่มั่นคง”ยิ่งกว่าเดิม


                    การค้นพบว่าชีวิตไม่มีความมั่นคงนั้นเป็นความสว่างในชีวิตแล้ว เป็นแสงสว่างทางปัญญาที่ผู้คนมากมายยากนักที่จะตระหนักรู้ ผู้ที่รู้ความจริงในข้อนี้แต่ต้นจึงไม่แต่งงานเพื่อแสวงหาความมั่นคงแต่อย่างใด เพราะมองเห็นด้วยปัญญาว่า จะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน ชีวิตก็คือการอยู่กับความไม่มั่นคงเหมือนเดิม


                    การแต่งงานเสียอีกกลับทำให้จิตใจเพิ่มความไม่มั่นคงยิ่งกว่า ต้องคอยหวั่นไหวว่าจะมีใครมาแย่งชิงหรือกลัวคนของเราจะนอกใจไปทางอื่น ต้องหวั่นไหวว่าฐานะทางครอบครัวจะไม่มั่นคงยั่งยืน ต้องนอนผวาหลับไม่เต็มตื่นเพราะกลัวคนอื่นจะแย่ง “คนดี”ของเราไป


                    สตรีผู้มีปัญญาจะไม่แสวงหาความมั่นคงของชีวิตด้วยการแต่งงาน หากเธอจะใช้ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขกับใคร ย่อมเกิดจากความพอใจที่เธอจะยืนเคียงข้างเพื่อส่งเสริมกำลังใจผู้ชายที่เธอรักที่เขาทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม มิใช่เพียงแค่เธอคนเดียวมากกว่า สตรีเช่นนี้ผู้ชายมิอาจครอบครองเธอได้ และเธอมักจะเปี่ยมด้วยความทระนงว่าเธอพึ่งตัวเองได้ไม่จำเป็นต้องพึ่งผู้ชายแต่อย่างใด มีแต่คุณธรรมและความดีเท่านั้นจึงจะทำให้เธอสยบยอม


                    ผู้มีปัญญารู้ใจตน จะไม่แต่งงานเพียงเพราะความจำนนต่อความต้องการทางเพศเท่านั้น ผู้ชายแม้จะเจ้าชู้หรือผ่านผู้หญิงมามากมายเพียงใด แต่เมื่อใดที่เขาคิดจะแต่งงาน เขาจะเลือกผู้หญิงที่สามารถมีความสุขอยู่กับบ้านและสร้างบ้านให้เป็นสวรรค์ เขาจะไม่ใช่คนเดิม เขาจะกลายเป็นคนใหม่ ที่ไม่ให้ค่าแก่สตรีที่ชอบออกสังคมเหมือนตอนที่เขาแสวงหาความสำราญในอดีตอีก เพราะสิ่งที่เขาแสวงหาตลอดมานั้นก็คือบ้านที่เป็นสรวงสวรรค์นั่นเอง


                    เป็นผู้ชายอย่าใช้กลอุบายหลอกสตรีเพียงเพื่อหวังร่างกายของเธอเท่านั้น เพราะจะเกิดวิบากกรรม ให้ต้องประสบความทุกข์อันสาหัสจากสตรีที่เราเคยคิดว่าเธอโง่คนนั้นในวันข้างหน้า เป็นผู้หญิงจงอย่าคิดผูกมัดผู้ชายด้วยเล่ห์กลมารยา เพราะผู้ชายคนนั้นจะสร้างบ่อน้ำตาให้แก่เราในวันหนึ่งชนิดตักเท่าไหร่ก็ไม่ลดลง


                    จงใช้ชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ หากมีใครมาขอแต่งงานอย่างจริงใจ ก็จงแต่งไปเถิดเพื่อมีความสุขประสาหญิงชายตามสัญชาตญาณของสัตว์โลก หากมองเห็นว่าชีวิตนี้ช่างน้อยนักควรเร่งทำประโยชน์เพื่อคนอื่นหรืออุทิศตนเพื่อพระศาสนาดีกว่าที่จะหาห่วงมาผูกคอ หาปอมาผูกศอก หาโซ่มาผูกขา อันเป็นความคิดของคนที่มีพื้นฐานทางจิตในอดีตชาติเคยบำเพ็ญบารมีจนเห็นทุกข์โทษของครอบครัวมาก่อน ก็ไม่ควรแต่งงานเพราะจำนนต่อบางสิ่งบางอย่าง แต่ควรบำเพ็ญบารมีให้สะอาดบริสุทธิ์และสูงส่งต่อไป เพราะยังไม่เคยปรากฏว่ามีใครขาดใจตายเพราะไม่ได้แต่งงานแม้แต่คนเดียวนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน


                    ไม่ว่าหญิงหรือชาย ไม่ควรแสวงหาความมั่นคงของชีวิตด้วยการแต่งงาน จงให้การแต่งงานเป็นไปตามธรรมชาติเพื่อใช้ชีวิตกับคนที่เรารัก แต่จงมีความเข้าใจในสัจธรรมเพิ่มขึ้นไปอีกว่า ชีวิตที่แท้จริงนั้นคือความไม่มั่นคงที่เลื่อนไหลอยู่ตลอดเวลา


                    การเป็นพระอริยบุคคลก็คือการเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า การที่เราแสวงหาความมั่นคงในชีวิตตลอดมา แท้จริงแล้ว ความมั่นคงไม่เคยมี มีแต่ความที่สรรพสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง


                    การตระหนักว่าชีวิตคือความไม่มั่นคง นั่นคือการเติบโตทางจิตวิญญาณภายในครั้งยิ่งใหญ่ จงมีสติอยู่กับความไม่มั่นคงนั้นเรื่อยไป สุดท้ายจะเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาในชีวิต คือจิตดวงนี้เริ่มมีความมั่นคงขึ้นเรื่อยๆอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน


                    การอยู่กับความไม่มั่นคง คือการอยู่กับพระไตรลักษณ์ คือการเดินอยู่บนหนทางแห่งอริยมรรค นั่นแหละคือหนทางไปสู่พระนิพพานก่อนที่ร่างกายนี้จะแตกดับลง

 

 

                                                                            คุรุอตีศะ
                                                                     ๑๒ มกราคม ๒๕๕๘